Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน พุธ เม.ย. 24, 2024 5:03 pm

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 21 กุศโลบาย @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter 21 กุศโลบาย @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 12:35 am

Chapter 21 กุศโลบาย


ณ เขตอุทยานภายในราชวังแห่งซาโลม

เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานร่าเริงของเด็ก ๆ ดังก้องไปทั่วบริเวณ องค์ชายตัวน้อยวิ่งเล่นไล่จับกับบรรดาลูก ๆ ของเหล่าเสนาอำมาตย์อย่างสนุกสนานโดยมีนาริสยืนดูเด็ก ๆ วิ่งเล่นจากเฉลียงทางเดินของปราสาทด้วยความเอ็นดู บางครั้งก็ต้องแอบหัวเราะในลำคอขบขันกับท่าทางประหลาด ๆ ที่เด็ก ๆ ทำหยอกล้อใส่กัน เสียงหัวเราะอย่างเปี่ยมสุขของเจ้าชายน้อยนั้นดังกังวานใสจนลอยไปถึงหูของผู้เป็นมารดา จึงอดไม่ได้ที่จะต้องวางมือจากงานที่ทำอยู่เพื่อจะออกมาดูลูกสุดที่รัก

พระนางทรงค่อย ๆ ดำเนินลัดเลาะโถงทางเดินและห้องหับต่าง ๆ ตามเสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วของลูกไปเพียงลำพัง สักพักก็ทรงเลี้ยวขวาตรงหน้ามุขมุ่งสู่เฉลียงที่นำออกไปยังอุทยานใหญ่ภายในเขตพระราชฐาน จึงทรงได้เห็นมหาอำมาตย์เฒ่ายืนอยู่บนเฉลียงข้างเสาต้นใหญ่มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมพอที่กำบังร่างของพระนางได้พอดี

เมื่อพระนางดำเนินเข้ามาใกล้พอ นาริสก็รู้สึกตัวและรีบทำความเคารพทันที

“กระหม่อมไม่ทราบว่าพระนางเสด็จมาจึงไม่ได้ถวายการต้อนรับ” นาริสเตรียมจะหันไปสั่งเหล่านางกำนัลให้จัดที่ให้องค์ราชินีแต่ก็ถูกพระนางห้ามเอาไว้เสียก่อน

“ไม่ต้อง ท่านนาริส ข้าจะมาดูลูกข้าเท่านั้น ว่าทำไมเขาถึงหัวเราะได้อย่างสนุกสนานเพียงนี้ ข้าไม่ได้ยินเสียงหัวเราะเต็มที่เช่นนี้ของเขามานานเท่าไหร่แล้วนะ?” ราชินีเนริมอร์ทอดพระเนตรฝ่ากิ่งไม้ที่ใช้พลางตัวออกไปยังอุทยานเบื้องหน้า เจ้าชายอิสฮานทรงกำลังวิ่งเล่นหลบไปหลบมาจากเด็กชายอีกคนหนึ่งโดยมีเด็ก ๆ อีกสี่คนวิ่งวนอยู่รอบ ๆ เสียงหัวเราะที่สดใสทำเอาพระนางเองทรงอดยิ้มตามไม่ได้

“เด็กพวกนั้น...” ราชินีเนริมอร์ ตรัสเปรยขึ้นเบา ๆ

“ลูก ๆ ของขุนนางในวังนี่แหละพ่ะย่ะค่ะ เมื่อทรงหนังสือเสร็จแล้ว และยังพอมีเวลา กระหม่อมก็จะพามาให้เล่นกันที่นี่”

“ข้าจำได้ว่าเจ้าพวกนี้ไม่ยอมเล่นกับลูกข้า”

“พระนาง เพราะเด็ก ๆ กลัวการลงโทษของพระองค์ ทำให้เด็ก ๆ ไม่กล้ามาเล่นกับพระโอรส นี่ก็เพิ่งยอมเล่นด้วยกันเมื่อไม่กี่สัปดาห์นี้เอง”

“หึ...แล้วตอนนี้พวกมันหายกลัวแล้วรึไง?” ราชินีเนริมอร์ ทรงเหยียดพระโอษฐ์ ตรัสประชดเสียงขึ้นจมูก

“วัยเด็กเป็นวัยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความมหัศจรรย์ ความมีน้ำใจไมตรีของพระโอรสที่หยิบยื่นให้เด็ก ๆ เหล่านี้ทำให้เอาชนะใจพวกเขาได้ไม่ยากนัก อีกทั้งด้วยความเป็นเด็ก จะโกรธ เกลียด กลัว โศกเศร้า เสียใจ ก็เพียงชั่วคราวไม่นานก็ลืมเสียหมดกลับมาคืนดีกันได้ใหม่ ผิดกับผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ที่ยิ่งโตก็ยิ่งมาด้วยทิฐิ”

ทันใดนั้นพระโอรสน้อยก็สะดุดขาเด็กอีกคนหนึ่งล้มลงจนล้มกลิ้งไปกับพื้น ราชินีเนริมอร์ดวงเนตรวาวโรจน์ขึ้นทันที อำมาตย์ชราจึงรีบคุกเข่าลงขวางทางราชินีเนริมอร์ไว้ด้วยความรวดเร็ว ราชินีเนริมอร์พยายามสะกดอารมณ์อย่างเต็มที่ทรงขบฟันแน่นตรัสอย่างยากลำบากว่า “หลีกไป ท่านไม่เห็นรึว่าลูกข้าหกล้ม”

“พระนางโปรดระงับความโกรธลงก่อนเถิด พระองค์ไม่อยากได้ยินเสียงหัวเราะที่สดใสนั้นอีกหรือ? ไม่ทรงอยากเห็นความเข็มแข็งของพระโอรสหรอกหรือ? นาริสแทบจะระรั่วพูดเพื่อรั้งความคิดของ องค์ราชินี

“ความเข้มแข็งอะไรกัน?!” ราชินีเนริมอร์ทรงพยายามบังคับพระองค์อย่างเต็มที่ กวาดสายพระเนตรไปยังลูกน้อยอีกครั้ง

เด็ก ๆ ทุกคนต่างหน้าตาซีดเผือดเพราะความกลัว ด้วยรู้ว่าเวลานี้พระนางเนริมอร์ เสด็จกลับมาประทับอยู่ที่ซาโลมแล้ว และหากพระโอรสเกิดเป็นอะไรขึ้นมาอีกคราวนี้พวกตนคงต้องตายเป็นแน่ เจ้าชายอิสฮานเองก็ทรงรู้ดีว่าทุกคนรู้สึกอย่างไร จึงทรงรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับดึงเพื่อนที่ล้มลงไปด้วยกันให้ลุกขึ้นด้วย แม้จะทรงรู้สึกเจ็บเข่าเจ็บแขนอยู่บ้างแต่ก็ทรงรีบใช้พระหัตถ์น้อย ๆ ปัดเศษฝุ่นเศษดินตามเสื้อผ้าออก ซึ่งทุกคนก็รีบช่วยกันอย่างรวดเร็ว

“เห็นไหม ไม่เจ็บเลย เรามาเล่นกันต่อเถอะ” พระโอรสยิ้มกว้างให้กับเด็ก ๆ เหล่านั้น และออกวิ่งนำอีกครั้ง ทุกคนจึงค่อยยิ้มออกและเริ่มวิ่งเล่นกันต่อ

ภาพที่เห็นนั้นทำให้ราชินีเนริมอร์ต้องทรงประหลาดพระทัยและอดภูมิใจไม่ได้ ความขึงโกรธพลันอ่อนยวบลงทันที “เขาเก่งนะ ไม่ร้องไห้เลยสักนิด”

“พ่ะย่ะค่ะ” อำมาตย์เฒ่ารู้สึกโล่งใจขึ้น รับคำยิ้ม ๆ

“ข้าไม่อยู่เพียงไม่กี่เดือนเขาเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ท่านสอนเขาอย่างไรกัน?”

“มิได้พระนาง เดิมทีพระโอรสก็เป็นเด็กที่มีน้ำใจดี มีความอดทนอดกลั้น และ เฉลียวฉลาดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าไม่ค่อยมีโอกาสได้แสดงออกอย่างเต็มที่เท่านั้น”

“ท่านหมายความว่าอย่างไร? ท่านอยากจะพูดอะไรกันแน่ท่านอำมาตย์?”

“พระนางจะทรงรับฟังคำแนะนำของตาแก่คนนี้ได้หรือไม่? เพื่อพระนางและพระโอรสเองด้วย”

“ตั้งแต่ข้าแต่งงานมาอยู่ที่นี่ก็ได้ท่านคอยช่วยเหลือดูแลทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตข้าท่านก็ยังเคยช่วยไว้ ซ้ำท่านก็ยังดูแลลูกข้าอย่างดี รักอิสฮานอย่างจริงใจปฏิบัติต่อเขาไม่ต่างจากลูกหลานของตนเอง ข้าซาบซึ้งใจมาก และ เคารพนับถือท่านอย่างจริงใจ ดังนั้นท่านจงพูดมาเถิด”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” นาริสยิ้มอย่างซาบซึ้งก่อนจะค่อย ๆ เริ่มต้นกล่าวทูลสิ่งที่อยู่ในใจ “พระนาง จากการที่กระหม่อมเฝ้าอบรมเลี้ยงพระโอรสตั้งแต่ยังเล็กจนถึง ณ เวลานี้ หลายครั้งเหลือเกินที่ทรงฉายแววความปรีชาสามารถเกินกว่าเด็กธรรมดาทั่วไป ไม่ว่าจะเรียนการเรียนรู้ กระบวนการคิดอ่านต่าง ๆ เพียงแค่สอนครั้งเดียวก็จำได้แม่นยำ แต่ก็หลายครั้งเหลือเกินที่พระองค์ไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถนี้อย่างเต็มที่นัก การที่จะให้พระโอรสพัฒนาความสามารถยิ่ง ๆ ขึ้นนั้น บางครั้งก็ต้องปล่อยให้พระองค์เผชิญเหตุการณ์ต่าง ๆ นั้นเองบ้าง”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 21 กุศโลบาย @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 12:37 am

“ท่านจะหมายความว่าข้าห่วงอิสฮานมากเกินไปรึ… การที่ข้ารักและห่วงลูกเป็นความผิดอย่างนั้นหรือ?” ราชินีเนริมอร์ตรัสถามย้อนเจือความไม่พอพระทัยในน้ำเสียงที่ถูกติเรื่องความรักที่มีต่อลูกน้อยของพระนาง

“มิได้เลยพระนาง ความรักของพระนางที่มีต่อพระโอรสนั้นยิ่งใหญ่นัก แม้สตรีทั่วทั้งซาโลมก็ยังหายากนักที่จะมีผู้ใดมีความรักยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทว่ากระหม่อมหมายความถึงปฏิกิริยาของพระองค์ที่มีต่อเรื่องของพระโอรสโดยเฉพาะพระพิโรธของพระนาง บ่อยครั้งเหลือเกินที่ทำลายโอกาสดี ๆ ที่พระโอรสจะได้เติบโตทางด้านความคิดและจิตใจ”

เมื่อทรงได้ยินดังนั้น ราชินีเนริมอร์ก็ทรงถึงกับนิ่งอึ้งไปนาน ซึ่งนาริสเองก็ไม่พูดใด ๆ ต่อเพื่อปล่อยให้พระนางได้ทบทวนคำพูดของตนอย่างถี่ถ้วน ราชินีเนริมอร์ทอดพระเนตรลูกชายที่กำลังหัวเราะอย่างร่าเริงอยู่นานจนในที่สุดจึงตรัสขึ้นราวกับเปรยกับตัวเองคนเดียว “ในใจข้าไม่เคยสงบเหมือนมีเชื้อไฟที่รอคอยการคุกรุ่น เมื่อใดมีสิ่งสะกิดเร้าให้มันไหม้ลุกแรงขึ้น มันจะเผาผลาญทุกสิ่งเป็นเปลวเพลิงที่แม้แต่ตัวข้าเองก็มิอาจดับได้... อิสฮานเป็นความรัก ความหวัง และ ความฝันทั้งหมดของข้า เขาเป็นยิ่งกว่าชีวิตของข้าเสียอีก เมื่อใดที่เขาเจ็บข้าเจ็บปวดกว่าเป็นร้อยเท่า แล้วท่านจะให้ข้าทำเยี่ยงไร?” น้ำเสียงของนพระนางนั้นเศร้าสร้อยหดหู่เหมือนเด็กน้อยที่หลงทางอยู่ในวังวนที่ไร้ทางออก ดวงเนตรทั้งสองนั้นร้อนด้วยหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอ

“หากลูกหิว พ่อแม่ควรหาอาหารมาให้ลูกหรือควรจะสอนลูกให้รู้จักวิธีหาอาหารเองเล่า? ถ้าเรามั่วแต่หาอาหารมาให้ หากวันใดที่ไม่มีพ่อแม่แล้ว ลูกจะอยู่ได้อย่างไรในเมื่อไม่เคยหาอาหารกินเองเลย บางครั้งเราก็จำเป็นที่จะต้องยอมอดทนอดกลั้นฝืนความรู้สึกของตนเพื่อให้ลูกได้เติบโต”

ราชินีเนริมอร์ทรงเงียบไปครู่ใหญ่ สักพักจึงตรัสตอบ “ข้าจะพยายาม แต่ข้าคงรับปากอะไรท่านไม่ได้หรอกนะ”

“เพียงเท่านั้นก็ดีพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ราชินีเนริมอร์ทรงพยักพระพักตร์ช้า ๆ สายตายังคงมองออกไปยังกลุ่มเด็ก ๆ ที่ยังคงวิ่งเล่นกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ลูกน้อยอันเป็นที่รักวิ่งเล่นด้วยใบหน้าที่แตะแต้มรอยยิ้มแห่งความสุขนั้นช่างดูงดงามยิ่งนัก พระนางทรงอยากจะจดจำภาพเหล่านี้ไว้เพื่อคอยปลอบประโลมใจเวลาที่พระนางต้องหงอยเหงาด้วยความคิดถึงลูกในสนามรบบ้า ๆ นั่น สักพักเสียงแสร้งกระแอมไอของอำมาตย์เฒ่าก็ดูจะมีแรงพอที่จะดึงนางออกมาจากห้วงความคิดคำนึงได้

“อะไรหรือท่านนาริส” ราชินีเนริมอร์ตรัสถาม ทว่าสายพระเนตรไม่ได้ละไปจากลูกน้อยเลย

“กระหม่อมมีเรื่องที่จะต้องทูลให้ทรงทราบ กระหม่อมพิจารณาแล้วว่าพระองค์สมควรจะทราบไว้ดีกว่า”

“เรื่องอะไรหรือ?”

“พระโอรสทรงรู้เรื่องปู่ของเขาบ้างแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ราชินีเนริมอร์ทรงขมวดคิ้วเข้าหากันหันมามองหน้าอำมาตย์เฒ่าทันที สักพักจึงค่อย ๆ คลายออกตรัสเสียงเบาว่า “ถ้าซาดินรู้คงไม่ชอบใจมาก”

“กระหม่อมทราบดี ทว่าการจะให้พระโอรสเรียนรู้การเป็นกษัตริย์ที่ดีก็จำเป็นต้องมีแบบอย่างที่ดีให้พระองค์ได้ศึกษาเพื่อเป็นแนวทางในการปรับมาใช้กับตัวพระองค์เอง แล้วตัวอย่างของกษัตริย์ผู้ทรงธรรมที่น่าเคารพยกย่องที่สุดก็มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น”
ราชินีเนริมอร์ทรงหวนรำลึกถึงภาพความทรงจำในอดีตที่แสนเลือนราง ภาพพระองค์ในวัยเด็กสวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดหรูหราด้วยเครื่องประดับที่ทำจากทอง เพชร และ ทับทิม นั่งอยู่ภายในงานเลี้ยงฉลองแต่งงานของตนในเผ่าซาโลมด้วยความรู้สึกตื่นตระหนกและหวั่นไหว เด็กสาววัยเพียงสิบปีต้องห่างจากพ่อและแม่มาแต่งงานกับเด็กชายต่างเผ่าที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน เด็กชายวัยสิบเอ็ดปีที่อยู่ข้างกายซึ่งบัดนี้ได้ชื่อว่าเป็นสามี แต่ก็ดูจะยังไม่เข้าใจเรื่องความรักและการแต่งงานมากไปกว่าเธอเลยสักนิด การนั่งอยู่ในงานเพียงลำพังโดยไม่รู้จักใครสักคนช่างว้าเหว่ยิ่งนัก ความประหวั่นโหมพัดแรงอยู่ภายในตัวจนดวงตาร้อนผ่าวและเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา

ยังไม่ทันที่หยาดน้ำตาใส ๆ จะร่วงหล่นลงมาที่สองพวงแก้ม หัวหน้าเผ่าในชุดยาวหรูหราสีขาวขลิบแดงก็เดินเข้ามาหา ใบหน้าใจดีนั้นยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยนจนเห็นรอยพับย่นที่หางตาทั้งสองข้าง เขาค่อย ๆ เอื้อมมือมาวางไว้เหนือศีรษะของเธอลูบเบา ๆ กล่าวว่า “เวลานี้เจ้าคือลูกสาวของข้าแล้ว ไม่ต้องหวาดกลัวใด ๆ นะ ข้าสัญญาว่าเจ้าจะอยู่ที่นี่อย่างมีความสุข ใช่ไหมซาดิน?” เขาหันไปถามเด็กชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เธอ

“ครับ ท่านพ่อ” เด็กชายยิ้มตอบอย่างกระตือรือร้นก่อนจะหันมายิ้มให้เธอและเริ่มชวนเธอพูดคุย

ราชินีเนริมอร์กระพริบเนตรสองสามครั้ง เวลานี้ภาพแห่งวันเก่า ๆ จางหายไปจนหมดสิ้นแล้ว พระนางทรงมองเลี่ยงไปทางอื่นตรัสว่า “ข้ายังจำเรื่องราวในอดีตได้ดี เมื่อครั้งที่ข้าแต่งงานมาอยู่ที่ซาโลม ท่านพ่อดีกับข้ามากเหลือเกิน แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขมันช่างแสนสั้น เพียงแค่ปีเดียวท่านพ่อก็ถูกไอ้พวกชั่วนั่นฆ่าตาย จากนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด แม้แต่ซาดินเองก็ยัง... ข้าจะไม่ยอมให้อิสฮานเป็นเหมือนพ่อของเขาเด็ดขาด ชาวซาโลมทุกคนจะต้องรักเขา เขาจะเป็นกษัตริย์ที่เก่งกล้าสามารถ เขาจะเป็นผู้นำพาซาโลมให้เจริญรุ่งเรือง ยุคของเขาจะเป็นยุคทองของซาโลม”

“โอ พระนาง” นาริสอดยิ้มขันไม่ได้เมื่อได้ฟังราชินีเนริมอร์ตั้งความหวังมากมายให้แก่พระโอรสอิสฮาน

“ท่านนาริส เขาจะต้องเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่” ราชินีเนริมอร์ตรัสด้วยน้ำเสียงจริงจังมากขึ้น

นาริสโค้งรับคำน้อย ๆ ยิ้มอย่างมั่นใจตอบว่า “พระโอรสทรงเป็นได้แน่พ่ะย่ะค่ะ”

คำพูดของอำมาตย์เฒ่าทำให้พระทัยของพระนางพองโตด้วยความปลาบปลื้มและภาคภูมิใจ

“เสด็จแม่!” เสียงตะโกนเรียกแหลมสูงดังมาจากสนามใกล้ ๆ เฉลียงที่ราชินีเนริมอร์และนาริสยืนอยู่ ก่อนที่เจ้าชายน้อยจะทรงวิ่งตรงรี่เข้ากอดเอวพระมารดาแน่นหัวเราะเสียงใส “เสด็จแม่มาเมื่อไหร่พ่ะย่ะค่ะ? ลูกไม่เห็นพระองค์ตอนเสด็จมาเลย” เจ้าชายทรงเงยพระพักตร์ถามเอียงคอเอาแก้มอิงกับพระหัตถ์ของพระมารดาที่ยกขึ้นลูบพวงแก้มของพระองค์อย่างน่าเอ็นดู
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 21 กุศโลบาย @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 12:38 am

“มาได้สักพักแล้วจ๊ะ แต่เห็นลูกกำลังเล่นสนุกอยู่เลยไม่ได้เรียก” ราชินีเนริมอร์ทรงยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะทรงโน้มองค์ลงจูบแก้มของลูกชายที่เปลี่ยนเป็นสีแดงจัดเพราะเลือดสูบฉีดจากการวิ่งเล่น ซึ่งเจ้าชายอิสฮานก็ทรงรีบยกพระหัตถ์ทั้งสองโอบรอบพระศอราชินีเนริมอร์ ทรงหอมแก้มพระมารดากลับฟอดใหญ่ เมื่อช้อนพระเนตรมองพระพักตร์ของพระมารดาอีกครั้งรอยยิ้มของเด็กน้อยก็ค่อยเลือนหายไป

“เสด็จแม่เป็นอะไรไป? ทำไมใบหน้าของพระองค์ถึงได้เศร้าเหลือเกิน?” เจ้าชายอิสฮานทรงขมวดคิ้วแน่นมองพระมารดาด้วยความห่วงใย

“แม่...” ราชินีเนริมอร์ทรงลังเลอยู่ครู่ใหญ่ คำพูดดูเหมือนจะเอื้อนเอ่ยได้ยากลำบากนักเมื่อจู่ ๆ ความกลัวการลาจากก็จู่โจมใส่นางอย่างรวดเร็ว “แม่...อีกไม่นาน...อีกไม่ถึงสามสัปดาห์แม่ก็จะต้องจากเจ้าไปสนามรบแล้ว” ราชินีเนริมอร์ทรงแทบจะกลั้นใจตรัส กลัวจับใจที่จะต้องเห็นน้ำตาของลูกที่รัก พระนางทรงเฝ้ามองปฏิกิริยาของเจ้าชายอิสฮานด้วยความประหวั่นพระทัย
เจ้าชายอิสฮานทรงนิ่งไปอึดใจก่อนที่จะเลื่อนพระหัตถ์มาจับพระหัตถ์ของพระมารดาแน่นราวกับจะเน้นย้ำความหนักแน่นของจิตใจ ริมพระโอษฐ์ที่เครียดเกร็งนั้นคลายออกเป็นรอยยิ้มละไมอีกครั้ง “ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่ พระองค์ไม่ต้องเป็นห่วง ลูกจะเป็นเด็กดีตั้งใจเรียน จะเชื่อฟังท่านนาริส และรอเสด็จแม่กลับมา”

ราชินีเนริมอร์ทรงได้ยินคำตอบที่เกินความคาดหมายของพระองค์จนต้องหันไปมองอำมาตย์เฒ่าอย่างรวดเร็วด้วยความประหลาดใจ ซึ่งนาริสก็ได้แต่ยิ้มและโค้งให้เป็นนัยว่าพระโอรสทรงเติบโตและเข็มแข็งขึ้นดั่งที่เขาบอกจริง ๆ ราชินีเนริมอร์ยิ้มกว้างและสวมกอดลูกแน่น

“ลูกรัก ดูท่าเจ้าจะเข้มแข็งกว่าแม่แล้วด้วยซ้ำ” พระนางทรงเพ็งพิศใบหน้าของอิสฮาน สองมือลูบไล้พวงแก้ม “เจ้าคือความภาคภูมิใจของแม่”

เมื่อเจ้าชายน้อยได้ยินดังนั้นก็ทรงยิ้มกว้าง พระทัยพองโตรู้สึกราวกับตัวโตขึ้นกว่าเดิม “เมื่อลูกโตขึ้น ลูกจะเป็นคนปกป้องเสด็จแม่เอง”

ราชินีเนริมอร์ ทรงหัวเราะอย่างเอ็นดู “แม่เชื่อจ๊ะ แต่ตอนนี้องครักษ์ของแม่...เนื้อตัวเจ้าเหนียวเหนาะมอมแมมไปหมด ดูไม่ค่อยสมกับเป็นองครักษ์ผู้พิทักษ์เลย มา...เดี๋ยวแม่จะพาไปอาบน้ำแล้วเราค่อยทานมื้อเที่ยงกันดีไหมจ๊ะ?”

“พ่ะย่ะค่ะ” เจ้าชายอิสฮานทรงเกาะแขนพระมารดากึ่งเดินกึ่งกระโดดอย่างร่าเริงก่อนจะหันไปทางอำมาตย์เฒ่า “พรุ่งนี้เจอกันที่ห้องหนังสือนะ ท่านนาริส”

“พ่ะย่ะค่ะ” นาริส ตอบรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มองสองแม่ลูกจากไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู และเวทนาสงสารในโชคชะตาของทั้งคู่อยู่ในที


************************************


ภายในเขตที่อยู่อาศัยของเผ่าฟูดินัน พวกผู้ชายในเผ่าต่างช่วยกันสร้างศาลาแปดเหลี่ยมสำหรับเด็ก ๆ ศาลานี้เดิมทีเป็นศาลาที่มีไว้เพื่อกิจกรรมของเด็ก ๆ ทั้งเผ่า เด็ก ๆ จะมาทำกิจกรรมร่วมกันที่นี่ในเวลากลางวันเมื่อบรรดาพ่อแม่ต้องออกไปทำงานในป่าในไร่ เด็ก ๆ จะมารวมตัวกันที่นี่ทุกวันโดยจะมีเด็กสาวและผู้เฒ่าผู้แก่ในเผ่าช่วยกันดูแลซึ่งรวมถึงจะถ่ายทอดวิชาความรู้ต่าง ๆ ที่จำเป็นให้ด้วย ทว่าศาลาหลังเก่าหลังจากถูกโจมตีโดยฝูงมังกรไฟจนพังพินาศหมดก็ไม่ได้รับการก่อสร้างใด เพราะ กว่าจะสร้างที่อยู่อาศัยและสิ่งปลูกสร้างที่จำเป็นต่าง ๆ เสร็จ เด็ก ๆ ก็ต้องมาชุมนุมกันในลานกว้างหน้าบ้านบันดาราแทนเป็นเวลาแรมเดือนเลยทีเดียว

นอกจากจะมีการละเล่นต่าง ๆ ให้เด็ก ๆ แล้ว การเรียนการสอนของเผ่าฟูดินันนั้นส่วนใหญ่มักจะเป็นการเรียนรู้วิถีชีวิตการดำรงชีพในป่า ไม่ว่าจะเป็นการปรุงยา หาสมุนไพร ล่าสัตว์ ทอเครื่องนุ่งห่ม การสัมผัสกับจิตธรรมชาติฯลฯ หมุนเวียนกันไปในแต่ละวันโดยผู้เฒ่าผู้แก่ที่เคารพนับถือในเผ่าที่มีเวลาว่างมาสอนให้ ในทุก ๆ วันวูจินจะเจียดเวลามาอยู่กับเด็ก ๆ เพื่อสอนคุณธรรมและศีลธรรมให้แก่เด็ก ๆ ด้วย ซึ่งการเรียนรู้ด้านคุณธรรมนั้นวูจินจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษเลยทีเดียว จึงต้องมีการเรียนด้านคุณธรรมและศีลธรรมทุกเช้าของแต่ละวันแม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นานนักเมื่อเทียบกับการเรียนรู้ด้านอื่น ๆ แต่ผู้เฒ่าก็คิดว่าการเรียนแบบค่อย ๆ ซึมซับนั้นคงนานและฝังลึกอยู่ในจิตใจของเด็ก ๆ ได้มากกว่า

เมื่อสอนเด็ก ๆ เสร็จเรียบร้อยวูจินก็มักจะเข้ามาดูการสร้างศาลาแปดเหลี่ยมเป็นประจำ และในวันนี้ก็อีกเช่นกันที่วูจินมาตรวจดูอาคารที่ก่อสร้างตามปกติ ก็ทันได้ยินเสียงหลานชายกำลังพยายามอธิบายอะไรบางอย่างแก่เหล่าช่างไม้ด้วยสีหน้าอ่อนใจ
“... ทำไมพวกท่านถึงไม่ยอมเข้าใจว่าไม้พวกนี้มันอ่อนเกินไปที่จะใช้ทำคาน”

“ท่านฮารีซัน ไม้นี้หาง่ายที่สุดในป่าละแวกนี้แล้ว หลังจากโดนไฟเผาพวกต้นไม้ก็ถูกเผาเกือบหมด ไม้เนื้อแข็งก็ยังไม่โตเต็มที่ ที่ใช้ได้เราก็เอาไปสร้างบ้านหมดแล้ว ก็เหลือแต่ไม้พวกนี้แหละที่โตพอจะเอามาใช้ก่อสร้างได้” ชายที่ดูเหมือนหัวหน้างานกล่าว

“ใช่ขอรับ ถ้าจะเอาไม้ที่เนื้อแข็งกว่านี้เราต้องเข้าไปในป่าลึก ซึ่งกว่าจะตัดกว่าจะขนย้ายมา มันลำบากมากนะท่าน” ชายอีกคนหนึ่งเสริมขึ้น

“แต่ว่ามันไม่ปลอดภัยสำหรับเด็ก ๆ นะครับ ถ้าเด็ก ๆ เข้ามาใช้ศาลาแล้วเกิดมันรับน้ำหนักไม่ไหวขึ้นมาล่ะ”ฮารีซัน พยายามชี้ถึงเหตุผล

“ไม่หรอก จะเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นได้ยังไง เด็ก ๆ ตัวเบาจะตาย” ชายคนแรกส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ

“ใช่ ๆ ไม่เห็นเคยมีเหตุการณ์อย่างนั้นมาก่อนในเผ่าของเราเลย” ชายคนที่สองพยักหน้าสนับสนุน

วูจินส่ายหน้าน้อย ๆ เดินยิ้มเข้ามาหาคนทั้งสาม “คุยอะไรกันอยู่รึ?”

“ท่านปู่” “ท่านผู้เฒ่า” คนทั้งสามกล่าวทัก โค้งคำนับผู้มาใหม่

“เรากำลังคุยถึงเรื่องไม้พวกนี้ครับ” ฮารีซันผายมือไปยังกองไม้ข้าง ๆ

“โอ้!!” วูจินอุทานเสียงดังยกมือขึ้นนาบอก “เมื่อคืนข้าเห็นนิมิตว่าบรรพบุรุษของเราสาปแช่งไม้เหล่านี้เพราะขึ้นมาตรงบริเวณที่มีคนตาย ถ้านำมันมาใช้จะต้องเกิดอาเพศ เด็ก ๆ จะบาดเจ็บคนแล้วคนเล่า ทางแก้คือต้องนำไม้เนื้อแข็งที่อยู่ในเขตเผ่าเซนทอร์มาสร้างแทน แล้วพลังที่เข้มแข็งประดุจนักรบเซนทอร์จะปกป้องคุ้มครองเด็ก ๆ ให้ปลอดภัย”

“จริงรึครับท่านผู้เฒ่า” นายช่างกล่าวอย่างตื่นตระหนก “เร็วเข้ารีบขนไม้พวกนี้ออกไปไกล ๆ เดี๋ยวเด็ก ๆ จะถูกคำสาป ท่านวูจิน ท่านฮารีซัน ถ้าเช่นนั้นข้าจะเกณฑ์คนไปขอตัดไม้จากเผ่าเซนทอร์เดี๋ยวนี้เลยนะครับ”

เมื่อทุกคนไปแล้วฮารีซันก็ขมวดคิ้วแน่นกล่าวอย่างตื่นตะหนก “เป็นความจริงหรือครับท่านปู่”

“เฮอะ เฮอะ” วูจินหัวเราะเบา ๆ ยกมือขึ้นตบไหล่หลานชาย “ไม่จริงหรอก ฮารีซันเอ้ย”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 21 กุศโลบาย @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 12:39 am

“อ้าว! แต่ท่านปู่เพิ่งพูด...” ฮารีซันขมวดคิ้วงุนงง

“บางครั้งกับคนบางคนเราก็ใช้เหตุผลด้วยไม่ได้ อย่างพวกเมื่อกี้ที่เอาแต่มักง่ายชอบความสบายกลัวแต่จะต้องลำบากต้องเหนื่อย ก็จะมีเหตุผลสารพัดที่จะไม่ทำตาม ครั้นจะให้เราออกคำสั่งบังคับให้เด็ดขาดก็ไม่เหมาะไม่ควรนัก เราก็ต้องมีกลเม็ดนิดหน่อยที่จะทำให้พวกเขาปฏิบัติตาม” วูจินพูดยิ้ม ๆ ใช้นิ้วชี้เคาะเบา ๆ ที่หน้าผากหลานชายสองสามที

“ผมจะจำไว้ครับท่านปู่” ฮารีซันตอบ

“มาเถอะ วันนี้คงไม่มีใครกลับมาที่นี่แล้ว ไปเดินตลาดกับปู่หน่อยเป็นไง ปู่ว่าจะไปหาวัตถุดิบทำยาเพิ่มอีกสักหน่อย”

“ครับ ท่านปู่” ฮารีซันตอบรับอย่างกระตือรือร้น

เมื่อไปถึงบริเวณตลาดทั้งสองก็เห็นกลุ่มชาวบ้านจับกลุ่มมุงกันอยู่บริเวณใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งจำนวนเกือบสี่สิบคน ต่างส่งเสียงฮือฮาเจี๊ยวจ๊าวจนดังอึกทึก เมื่อเข้าไปใกล้จึงได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วที่แสนจะคุ้นเคย

“เอ๊า! จะฟังข่าวของข้าก็อย่าลืมอุดหนุนสินค้าของข้าด้วยนะ ก็อย่างที่ข้าบอกนั่นแหละ ตอนนี้อีกฝากหนึ่งของภูเขานะกำลังสู้กันดุเดือดเลย ทหารของทั้งสองฝ่ายนะสู้กันตายเป็นเบือ อ๊ะ!ตะเกียงอันนั้นข้าลดให้ครึ่งราคาเลย” เสียงของโจซาน พ่อค้าช่างพูดที่กลับมาขายของที่ฟูดินันอีกแล้วนั่นเอง เขาเล่าข่าวสงครามไปพลางขายของไปพลางอย่างสนุกปาก

“กองทัพของอาณาจักรทางเหนือนะ มีแต่พวกแปลกประหลาด พวกเจ้าต้องไม่เชื่อสายตาตัวเองแน่ ๆ ถ้าได้เห็น โอ๊ย...แน่นอนข้าเห็นมาด้วยตาตัวเองแล้ว โอโหย... ทหารของพวกนั่นนะมีแต่ผีดิบกับปีศาจเหมือนมาจากขุมนรกเลย พวกมันมีสามหัวแต่ละหัวนะกินม้าได้ทั้งตัวเลย ตัวของพวกมันก็สูงใหญ่กว่าต้นไม้เสียอีก แขนแต่ละข้างของมันนะทั้งยาวทั้งแหลมเหมือนเคียวยักษ์ที่สะกิดนิดเดียวหัวพวกเจ้าก็ขาดสะบั้นเลย” โจซานยิ่งเล่าก็ยิ่งสนุกปาก แต่งนู่นเสริมนี่ให้เรื่องดูน่าหวาดเสียวยิ่งขึ้น เสียงวี๊ดว๊ายอย่างหวาดกลัวของชาวบ้านยิ่งชวนให้บรรยากาศการซื้อขายคึกคักขึ้นเรื่อย ๆ

“ถ้าเจ้าซื้ออันนั้นข้าแถมผ้าโพกหัวให้เจ้าด้วยนะ อ๋อ...ข้าเห็นได้ยังไงน่ะเหรอ ข้าแอบอยู่หลังก้อนหินใกล้ ๆ สนามรบน่ะสิ...ตรงทางผ่านประจำของข้าที่ใช้ข้ามเขามาฟูดินันนั่นแหละ นี่ข้าต้องเสี่ยงชีวิตอย่างมากเชียวนะกว่าจะมาถึงที่นี่ได้ ส่วนพวกฟีเลเซียก็เกณฑ์ไพร่พลครั้งใหญ่เลย ยอดนักรบจากทั้งอาณาจักรเป็นแสน ๆ นายกรีฑาทัพเข้าสู่สนามรบทั้งพลม้า พลมังกร พลทหารจนทั้งสนามรบมืดฟ้ามั่วดินไปหมด พนันได้เลยว่าพวกเจ้าต้องไม่เคยเห็นกองทัพนักรบที่ขี่ม้าบินแน่ ๆ ข้าเห็นมาแล้ว โอโห..สง่างามมาก ๆ นี่ ๆ ข้ามีตุ๊กตาไม้แกะสลักเป็นรูปนักรบบนหลังเปกาซัสมาขายด้วย เนี่ยจากช่างฝีมือของฟีเลเซียเชียวนะ ไม่ซื้อให้ลูก ๆ ของพวกเจ้าเล่นรึ?” โจซาน หยิบตุ๊กตาไม้หลายสิบตัวออกจะย่ามที่วางอยู่ข้างตัว ซึ่งชาวฟูดินันต่างก็รีบหยิบฉวยแย่งกันเป็นเจ้าของกันใหญ่

“ขายดีเชียวนะ โจซาน ตกลงว่าเจ้ามาขายของหรือ เจ้ามาโม้เรื่องสงครามกันฮึ?” วูจินถามยิ้ม ๆ ขณะเดินฝ่ากลุ่มชาวบ้านเข้ามา บรรดาชาวบ้านต่างก็แหวกทางให้ท่านผู้เฒ่าและหัวหน้าเผ่าแต่โดยดี

“ฮา ฮา ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละขอรับ ท่านวูจิน” โจซานหัวเราะอย่างอารมณ์ดี อวดฟันสีเหลืองที่เวลานี้มีฟันหายไปซี่หนึ่ง

“งั้นเจ้าช่วยเล่าสถานการณ์ต่าง ๆ ให้ข้าฟังหน่อยสิ อ๋อ...ไม่ต้องโม้มากนะ เจ้าก็รู้ว่าถึงโม้ไปข้าก็ไม่เชื่อ เอาที่สำคัญ ๆ ก็พอ” วูจินพูดดักคอยิ้ม ๆ ในขณะที่ฮารีซันพยายามกลั้นหัวเราะ

“แหะ แหะ” โจซานยิ้มแหย ๆ ถามกลับ “แล้วมันจะสนุกรึท่านผู้เฒ่า”

“เฮอะ เฮอะ โจซาน ข้าอยากรู้ความเป็นไปของสงคราม ไม่ได้อยากฟังเรื่องสนุกตื่นเต้น” วูจินยิ้มขัน ๆ

“ถ้าท่านว่าอย่างนั้น...ก็ได้!เอาแต่เรื่องหลัก ๆ นะ” โจซาน ขยับตัวไปมาพยายามนึกลำดับความเป็นไปต่าง ๆ โจซานเริ่มต้นเล่าตั้งแต่บริเวณที่สงครามเริ่มปะทุขึ้น การเสียเมืองหน้าด่านเมืองแล้วเมืองเล่าของฟีเลเซีย การปะทะกันของจอมทัพของทั้งสองอาณาจักร ระหว่างที่เล่านั้น ชาวฟูดินันทุกคนต่างเงียบกริบตั้งใจฟังชนิดที่เรียกว่าแทบไม่หายใจ มีเพียงเสียงกระแอมไอของวูจินที่ดังเป็นระยะ ๆ เมื่อโจซานชักจะโม้ออกนอกเรื่อง ทันทีที่เล่าจบชาวฟูดินันต่างก็ดีอกดีใจกันยกใหญ่

“ดีเหลือเกิน พวกมันเปลี่ยนใจไม่บุกพวกเราแล้ว” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งพูดขึ้น

“ขอบคุณท่านอิกดราซิล ที่คุ้มครองพวกเราและป่าให้ปลอดภัย”ยายแก่อีกคนพูดเสริม

“พวกเราปลอดภัยแล้ว ดีจังเลย พวกซาโลมเปลี่ยนไปบุกทางฟีเลเซียแล้ว” หญิงสาวอีกคนหันไปพูดกับเพื่อนของตนก่อนจะโผกอดกันด้วยความยินดี มีเพียงแค่วูจิน และ ฮารีซันเท่านั้นที่มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น

“เจ้าคิดว่าอย่างไร ฮารีซัน ?” วูจินถามเสียงเบา

“ข้าไม่แน่ใจครับท่านปู่ แต่ว่าข้ารู้สึกเป็นห่วงอย่างไรไม่รู้ ทำไมพวกซาโลมถึงเปลี่ยนใจง่ายดายนัก ตามที่รู้มาพวกซาโลมป่าเถื่อนไร้ความปราณี อยากจะได้เมืองไหนแคว้นไหนก็ต้องชิงเอามาให้ได้ พวกมันจะเลิกราจากฟูดินันง่ายดายขนาดนี้เชียวหรือ” ฮารีซันคิดทบทวนข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับซาโลมเท่าที่ตนรู้ด้วยความสงสัย

“ปู่ก็ยังไม่อยากวางใจเหมือนกัน” วูจินกวาดตามองบรรดาชาวบ้านที่กำลังโลดเต้นยินดีกับข่าวสงครามที่โจซานเล่า ก่อนจะส่ายหน้าน้อย ๆ พร้อมรอยยิ้มจาง ๆ “มาเถอะ!เรามีอะไรต้องทำอีกเยอะ ข้าไปล่ะ โจซาน อย่าพูดอะไรเกินจริงมากนักล่ะ” วูจินกล่าว ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกันฮารีซัน

“ตกลงขอรับ ๆ ”โจซานรับคำอย่างแข็งขัน ก่อนจะโบกมือลาบุคคลทั้งสอง “ลาก่อนท่านวูจิน ท่านฮารีซัน... อ๊ะ! เจ้านี่ตาถึงจริง ๆ เสื้อตัวนี้เป็นเสื้อที่เจ้าเมืองโครีธาขายให้ข้าก่อนเมืองจะถูกบุกเพียงสามเท่านั้นนะ ข้าขายให้เจ้าราคาไม่......” เสียงโจซานที่ค่อย ๆ ไกลออกไป ทำให้วูจินต้องถอนหายใจแรง ๆ และส่ายหน้ายิ้มขัน ๆ อย่างเสียมิได้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน

cron