Chapter 19 หีบเพลงแห่งนางฟ้า
หลังจากการรบที่เมืองฟอร์เรนเชียสงบลง แม้กองทัพจะยังคงสามารถรักษาเมืองไว้ได้ แต่สภาพเมืองก็เสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะบริเวณกำแพงเมืองนั้นชำรุดหักพังไปเป็นแถบเลยทีเดียว ทำให้แม่ทัพใหญ่ต้องเกณฑ์ไพร่พลเร่งซ่อมแซมกำแพงเมืองทั้งวันทั้งคืนเพื่อให้ทันการบุกโจมตีระลอกสองของกองทัพซาโลม ขณะเดียวกันชาร์ลก็ได้ย้ายประชาชนไปอยู่ที่เมืองเอรีมซึ่งตั้งอยู่ถัดจากเมืองฟอร์เรนเชียไป พร้อมทั้งเร่งเสริมกำแพงเมืองเอรีมให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นหากจำเป็นต้องสละเมืองฟอร์เรนเชียเมืองเอรีมจะได้มีปราการที่แข็งแกร่งกว่าในการต้านทัพซาโลม ทั้งนี้ก็เพราะถัดจากเมืองเอรีมก็คือเมืองวอลเนียอันเป็นเมืองที่มีวิหารแห่งฟรานเชสก้า(Church of Francessca)ตั้งอยู่ วิหารแห่งนี้แม้ไม่ได้เป็นวิหารหลวงแต่ก็มีความสำคัญต่อชาติฟีเลเซียอย่างยิ่งเพราะเป็นวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่นางฟ้าฟรานเชสก้าอารักขเทวดาแห่งฟีเลเซีย ดังนั้นเมืองเอรีมจึงเป็นปราการสุดท้ายที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะป้องกันเมืองวอลเนียจากเงื้อมือของศัตรู
ขณะที่ชาร์ลและนายทหารบางส่วนกำลังยืนอยู่บนยอดของกำแพงเมืองเพื่อตรวจตราดูการซ่อมแซมเมือง ชาร์ลยังคงคิดถึงการประมือเพียงชั่วเวลาสั้น ๆ กับแม่ทัพแห่งซาโลม ความรู้สึกที่น่าอึดอัดกับพลังประหลาดที่ชวนขนลุกนั่นยังคงรบกวนจิตใจของเขาอยู่เป็นระยะ ๆ อะไรบางอย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ตรงรอยแยกเล็ก ๆ ตรงด้านท้ายของคมเคียวนั่นดูราวกับมีชีวิต เขารู้ดีว่าเคียวนั้นต้องมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลแน่
“เรียก ฟอล์คเนอร์มาพบข้าเดี๋ยวนี้” ชาร์ลออกคำสั่งกับนายทหารทันที
*********************************
ขณะเดียวกัน ภายในค่ายทหารของซาโลมบรรดาแม่ทัพล้วนอยู่กันพร้อมหน้า ในขณะที่แม่ทัพทมิฬยืนนิ่งไม่ไหวติงด้วยใบหน้าถมึงทึงเบื้องหน้ากษัตริย์แห่งซาโลม ความรู้สึกคับข้องใจที่ถูกเรียกตัวกลับมากลางคันพลุ่งพล่านอยู่ในอก
“ฝ่าบาทไม่เชื่อว่ากระหม่อมจะเอาชนะแม่ทัพฟีเลเซียได้กระนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ จึงได้เรียกตัวกระหม่อมกลับกลางคันเช่นนี้” ราโชยูทูลถามด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว
“เปล่าเลย เพียงแต่ข้าต้องการจะทดสอบกองทัพใหม่ที่แบล็คไวเซอร์ และเบลซ เซจร่วมกันสร้างขึ้นจนสำเร็จ” กษัตริย์ซาดินตรัสอย่างอารมณ์ดี “กองทัพผีนรก(Necrotrooper) ในที่สุดก็สมบูรณ์แบบและมีจำนวนมากพอจะต่อกรกับกองทัพทั้งหลายได้เสียที หึ หึ”
“ฝ่าบาทจงใจให้พวกมันเข้ากำแพงเมืองไปได้เพียงเพื่อจะทดสอบประสิทธิภาพของทหารผีดิบ ว่าจะมีความสามารถมากแค่ไหนอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” ราโชยูทูลสรุปก่อนจะชำเลืองไปทางอุปราชเฒ่า
“ไม่ลองดู แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่ามันใช้การได้ดีแค่ไหน” กษัตริย์ซาดินทรงยิ้มร่ากล่าวสำทับ
“กองทหารผีดิบของพวกข้าพระองค์ แม้ว่าจะถูกฟันขาดเป็นสองท่อนมันก็จะยังคงสู้ต่อไปเพราะพวกมันไม่รู้จักเจ็บปวดอีกแล้ว พวกมันจะหมดสภาพก็ต่อเมื่อถูกสับเป็นชิ้นเล็กชื้นน้อยนั่นแหละพ่ะย่ะค่ะ” เบลซ เซจ พูดอย่างมั่นอกมั่นใจพร้อมรอยยิ้มน่ารักมเกรียม
“หมายความว่าคราวนี้ท่านจะนำทัพผีดิบไปตีเมืองฟอร์เรนเชียเองกระนั้นสิ?” ราโชยูแฝงแววประชดในน้ำเสียง
“ไม่...ยังไม่ถึงเวลาของพวกข้า อาวุธต่ออาวุธ เวทย์ต่อเวทย์ เมื่อเวลามาถึงเจ้าก็จะได้เห็นเอง เวลานี้ยังเป็นเวลาของเจ้าอยู่” แบล็ค ไวเซอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าไม่ยี่หระต่ออารมณ์คุกรุ่นของแม่ทัพร่างใหญ่ ทว่านัยน์ตากลับเต็มไปด้วยความชิงชังมองทอดออกไปไกล
“เอาล่ะ! เจ้ามีแผนยึดเมืองอย่างไร เบลซเซจ?” กษัตริย์ซาดินตรัสตัดบทด้วยพระทัยร้อน
“ทูลฝ่าบาท ข้าพระองค์เห็นว่าในคราวนี้เราจะแบ่งกองทัพออกเป็นสามกองทัพ โดยทัพผีดิบจะเป็นทัพใหญ่บุกประจันหน้าเข้าตีเมืองตรง ๆ ด้วยมีอาวุธหนักเช่นเครื่องยิงหิน(Catapult)ทั้งพิสัยใกล้และไกลคอยยิงถล่มเมืองและสกัดพวกกองทัพทางอากาศ เป้าหมายคือบุกเข้ากำแพงเมืองชั้นในเพื่อสร้างความปั่นป่วนภายในกำแพงเมือง ส่วนอีกสองทัพเป็นทัพมนุษย์ ซึ่งเราจะรอจังหวะที่พวกมันกำลังสาละวนอยู่กับทัพผีของเรา บุกตีขนาบเมืองทั้งซ้ายและขวา ทีนี้พวกฟีเลเซียหน้าโง่ก็จะโดนศึกกระหน่ำถึงสามด้านในคราเดียว ข้าพระองค์มั่นใจเหลือเกินว่าเมืองฟอร์เรนเชียจะต้องแตกภายในเวลาไม่นานแน่”
“ดี! พวกเจ้าไปเตรียมทัพได้ พร้อมเมื่อไหร่เคลื่อนทัพทันที” กษัตริย์ซาดินทรงออกคำสั่ง
*********************************