Chapter 18 เกลียวคลื่นใต้ผืนน้ำ
ภายในพระราชวังแห่งเมืองท่าแอนดิซอง เวลานี้ถูกตกแต่งประดับประดาอย่างวิจิตรตระการตา ด้วยเพราะวันนี้มีงานเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า‘วันแห่งชัยชนะ’ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นวันชาติของแอนดิซองเลยก็ว่าได้ เหตุที่ถูกเรียกว่าวันแห่งชัยชนะนั้นตามพงศาวดารเก่าแก่ของแอนดิซองได้กล่าวไว้ว่า ในยุคเริ่มแรกนั้นบรรพบุรุษจำนวนหนึ่งของชาวแอนดิซองซึ่งเดิมทีเป็นชาวฟีเลเซียได้เดินทางอพยพออกจากแผ่นดินใหญ่ข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อสำรวจและตั้งรกรากในอาณาจักรแห่งใหม่ พวกเขาได้เดินทางมาถึงแอนดิซองดินแดนที่ความอบอุ่นและความหนาวเย็นผสมผสานกันอย่างลงตัว ที่ซึ่งต้นไม้แล้วน้ำแข็งสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างประหลาดจนเกิดภูมิประเทศที่สวยงาม ทั้งยังง่ายต่อการป้องกันภัยจากศัตรูผู้รุกรานอีกด้วย บรรพบุรุษในยุคนั้นจึงตัดสินใจที่จะตั้งรกรากบนเกาะที่สวยงามแห่งนี้ ทว่าบนเกาะแห่งนี้กลับมีมังกรดำเทียแมต(Tiamat, the Black Dragon)อาศัยอยู่ และได้ออกอาละวาดบริเวณที่ตั้งบ้านเรือนของชาวแอนดิซองหลายครั้ง เหล่าบรรพบุรุษจึงได้รวมกำลังกันต่อสู้กับมังกรร้ายอย่างกล้าหาญ การต่อสู้กับมังกรดำนั้นกินเวลาหลายวันทีเดียว จนในที่สุดมังกรร้ายเทียแมตก็สิ้นฤทธิ์และถูกบรรพบุรุษของชาวแอนดิซองสังหารได้สำเร็จ ในครั้งนั้นชาวแอนดิซองจัดงานเฉลิมฉลองชัยชนะกันถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนและได้จัดงานฉลองในวันเดียวกันนี้ทุก ๆ ปีจนกลายเป็นประเพณีจนถึงทุกวันนี้
ในปีนี้งานเฉลิมฉลองก็ถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ไม่แพ้ปีใด ๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นริ้วธงหลากสีสัน ทั้งเพชรนิลจินดาที่ประดับตกแต่งตามที่สำคัญ ๆ ต่าง ๆ ในเมือง ชาวแอนดิซองไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจนต่างก็แต่งตัวกันด้วยชุดเสื้อผ้าที่ดีที่สุดของตนออกมาเดินตามท้องถนนเพื่อชมการแสดงมากมายที่จัดเป็นซุ้ม ๆ ตลอดทางเดินสายหลักของแอนดิซอง
แม้แต่ภายในพระราชวังเองก็คึกคักไม่แพ้กัน เหล่าขุนนางและพ่อค้าวาณิชทั้งน้อยใหญ่ต่างก็ทยอยกันมาคำนับเจ้าหญิงอลาน่าและร่วมงานเลี้ยงที่จัดขึ้น ทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่แต่งกายด้วยชุดสวยงามราคาแพงระยับที่สุดเท่าที่ตนจะหาได้ ผ้าคลุมกำมะหยี่ยาวกรุยกรายหลากสีประดับด้วยเพชร พลอย ทองและมุก
ทว่า แม้ทุกคนจะตกแต่งประดับประดากันมากสักแค่ไหนก็ไม่มีใครโดดเด่นและเป็นที่สนใจเท่ากับรูฟัส ประธานสภาพ่อค้าแห่งแอนดิซองไปได้ ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะความหล่อเหลาหรือเพราะเครื่องประดับล้ำค่ามากมายที่เขาประเคนใส่จนเดินแทบไม่ไหวเพราะความหนัก หากแต่เป็นเพราะความไร้รสนิยมโดยสิ้นเชิงของเขาที่นำเอาเครื่องประดับสารพัดชนิดมาประดับตัวโดยไม่คำนึงถึงชนิด ขนาด รูปทรง และสีสัน กระนั้นก็ดี รูฟัสกลับดูพออกพอใจอยู่ไม่น้อยเมื่อเห็นว่าใคร ๆ ต่างก็สนอกสนใจมองดูการแต่งตัวของตนเช่นนี้
ไม่นานนักเสียงแตรก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณการเสด็จมาของเจ้าหญิงแห่งแอนดิซอง ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังประตูทองคำที่มีเพชรสีขาวเรียงประดับเป็นรูปกริฟฟอนเผือก(Albino Gryphon)อันเป็นประตูเชื่อมเขตพระราชฐานชั้นในซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของท้องพระโรง บานประตูค่อย ๆ เปิดออกช้า ๆ พร้อมกับการเสด็จมาของเจ้าหญิงผู้ทรงสิริโฉมงดงามยิ่ง จากวันที่เธอมาถึงเมืองท่าในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนด้วยวัยเพียงสิบสี่ปี มาในวันนี้แม้วันเวลาจะผ่านไปถึงเจ็ดปีแล้วก็ตามแต่ความงดงามดั่งหญิงสาวแรกรุ่นก็มิได้เลือนหายไปเลย ใบหน้าหวานยังคงเรียวงาม พวงแก้มอมชมพูด้วยเลือดฝาดของวัยสาว ปากอิ่มเต็มสีแดงระเรื่อ เธออยู่ในชุดยาวสีน้ำเงินเข้มคอปาดที่ช่วยขับผิวขาวให้เนียนผุดผ่อง เธอแทบจะไม่ใส่เครื่องประดับใด ๆ เลยเว้นเสียแต่มงกุฎประจำตำแหน่งและสร้อยทองคำเส้นเล็ก ๆ แต่ในท่ามกลางผู้คนที่แข่งกันตกแต่งประดับประดาด้วยเครื่องประดับนานาชนิดจนดูไม่ต่างกับตู้โชว์สินค้า เจ้าหญิงที่ทรงแต่งองค์อย่างเรียบง่ายกลับดูโดดเด่นและงดงามยิ่งกว่าใคร ๆ ทั้งหมด ทำเอาบรรดาพ่อค้าและเหล่าขุนนางต่างก็ต้องกระดากอายกันไปตาม ๆ กัน
ผู้ที่ตามเสด็จในลำดับต่อมาก็คือซิสเตอร์โรซาน่า และราชองครักษ์อองเดรนั่นเอง ซิสเตอร์โรซาน่าในชุดเครื่องแบบประจำคณะเดินอย่างสงบเสงี่ยมตามเสด็จเจ้าหญิงอยู่ไม่ห่าง ในขณะที่ราชองครักษ์อองเดรอยู่ในชุดเกราะเต็มยศสีน้ำเงินเข้มขริบทองเงาวาว ผ้าคลุมสีขาวผืนใหญ่พริ้วไหวไปตามแรงลมที่พัดโบกยามก้าวเดิน เขายังคงซ่อนใบหน้าไว้หลังหน้ากากสีน้ำเงินเข้มที่เผยให้เห็นเพียงดวงตาที่เย็นชาและไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ
เมื่อเจ้าหญิงอลาน่าขึ้นประทับบนบัลลังก์พระที่นั่งแล้ว บรรดาเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง และพ่อค้าทั้งหลายต่างก็ทยอยกันเข้าคำนับเจ้าหญิง โดยเริ่มจากเชื้อพระวงศ์ ขุนนางชั้นสูง และพ่อค้าใหญ่เรื่อยไปจนถึงระดับชั้นผู้น้อย
ครั้นเมื่อพิธีคำนับผ่านไปแล้ว เจ้าหญิงอลาน่าจึงทรงให้สัญญาณเปิดงานเลี้ยงฉลอง เสียงดนตรีก็ดังกระหึ่มขับกล่อมทุกคนในงานเลี้ยงอย่างไพเราะ เหล่าบรรดาขุนนางและพ่อค้าต่างก็พาภริยาของตนออกเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน ข้างฝ่ายเจ้าหญิงอลาน่านั้นก็เสด็จทักทายเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางทั้งหลายรอบ ๆ ห้อง พระองค์เองนั้นไม่ค่อยทรงโปรดงานเลี้ยงประเภทนี้นัก ด้วยเพราะรู้สึกว่ามันช่างเป็นการสิ้นเปลื้องเวลาไปกับการร้องเล่นเต้นรำและการดื่มกินอย่างราชาของพวกคนชั้นสูง ทั้ง ๆ ที่ยังมีผู้ยากไร้อีกมากมายข้างนอกปราสาทที่ไม่มีเสื้อผ้าหนาไว้กันหนาว ไม่มีขนมปังสักก้อนไว้เต็มท้องให้อิ่ม เจ้าหญิงทรงทอดพระเนตรออกไปนอกหน้าต่างเป็นครั้งคราว ความคิดที่นำมาซึ่งความเบิกบานให้กับพระองค์ท่ามกลางงานเลี้ยงที่ฟุ่มเฟือยและมีแต่ความอวดร่ำอวดรวยนี้ก็คือ อีกประเดี๋ยวพระองค์ก็จะมีอาหารที่เหลือมากมายพอจะแจกจ่ายให้แก่คนยากไร้ได้ทั้งเมือง
ระหว่างที่กำลังสนทนากับกลุ่มขุนนางอยู่นั้น พ่อค้าใหญ่รูฟัสก็เดินตรงรี่เข้ามาหาเจ้าหญิงอลาน่า แม้ท่าทางของเขาเหมือนกำลังวิ่งอยู่แต่ดูเหมือนว่าเขากำลังย่องเข้ามาช้า ๆ เสียมากกว่า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะเขากลัวเครื่องประดับจะร่วงหล่นหรือเพราะความหนักของทั้งเครื่องประดับและตัวเขากันแน่ อองเดรรีบก้าวเข้ามาขวางระหว่างเจ้าหญิงและรูฟัสทันที ทำเอารูฟัสนั้นผงะถอยไปด้วยความตกใจเมื่อเห็นองครักษ์ร่างกำยำก้าวเข้ามาขวางและมองเขาด้วยสายตาเย็นชาจนแทบจะหนาวไปถึงกระดูก