Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน พุธ เม.ย. 24, 2024 2:02 am

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 17 การเผชิญหน้าของสองจอมทัพ @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter 17 การเผชิญหน้าของสองจอมทัพ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 19, 2009 11:33 pm

Chapter 17 การเผชิญหน้าของสองจอมทัพ


“เกิดอะไรขึ้น!” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสถามขึ้นขณะเสด็จผ่านประตูสู่ท้องพระโรง เหล่าแม่ทัพแห่งฟีเลเซียล้วนอยู่กันพร้อมหน้าในชุดเกราะเต็มยศ ทุกคนทำความเคารพเจ้าหญิงโดยพร้อมเพียบกัน ทว่าสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมายังเธอนั่นเต็มไปด้วยความรู้สึกเคร่งเครียดและหวั่นวิตก เจ้าหญิงเรจิน่าทอดพระเนตรไปยังกษัตริย์ซิกมันด์เป็นเชิงถาม พระองค์ทรงขมวดคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะเคลื่อนสายตาไปยังบิชอปเกรเกอรี่ ชาร์ล และ อัศวินเปกาซัสอย่างต้องการคำตอบจากพวกเขา

“เราถูกโจมตี” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสตอบด้วยสีหน้าเครียดขึง

“จากพวกไหนกัน” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสอย่างตื่นตระหนก ความหวั่นวิตกที่เกิดขึ้นระหว่างทางมายังปราสาทเป็นจริงขึ้นมาแล้ว พระองค์เสด็จขึ้นที่ประทับอย่างรวดเร็ว

“พวกซาโลมพ่ะย่ะค่ะ” อัศวินเปกาซัสตอบ “ภายในวันเดียวพวกมันก็ทำลายล้างเมืองหน้าด่านจนราบเป็นหน้ากลองไปถึงสามเมือง เมืองอาวีเลีย โครีธา และ คามินยาร์ดถูกพวกมันบุกอย่างรุนแรงและรวดเร็วมากจนไม่มีใครตั้งตัวได้ทัน ไม่มีทั้งสารท้ารบหรือการเตือนใด ๆ ก่อนล่วงหน้าไม่ต่างกับสุนัขลอบกัด ซ้ำพวกมันยังโหดร้ายขนาดฆ่าล้างเมืองจนไม่มีใครเหลือรอดเลยแม้แต่เพียงคนเดียว”

“ไอ้พวกชั้นต่ำไร้เกียรติพวกนี้ มันจะหยามศักดิ์ศรีฟีเลเซียกันเกินไปแล้ว” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงกัดกรามแน่น

“โหดน่ารักมเหลือเกิน แม้แต่ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ก็ไม่ละเว้น” บิชอปเกรเกอรี่กล่าวประณาม

“ต่ำช้านัก ช่างเป็นการกระทำที่ขี้ขลาดและไร้ยางอายที่สุด” แม่ทัพใหญ่สบประมาท

“ด้วยเหตุนี้ท่านเจ้าเมืองฟอร์เรนเชียจึงมอบหมายให้ข้าพระองค์รีบนำความมาทูลฝ่าบาท รวมทั้งขอกำลังเสริมเป็นการด่วน มิฉะนั้นอีกไม่เกินสองวันเมืองฟอร์เรนเชียก็คงแตกและย่อยยับไม่ต่างกับเมืองหน้าด่านทั้งสามแน่พ่ะย่ะค่ะ” อัศวินเปกาซัส กล่าวอย่างร้อนรน

“พวกมันยกทัพกันมากันมากน้อยแค่ไหน?” แม่ทัพใหญ่ถาม

“คาดว่าคงหลายแสนครับท่านแม่ทัพ แม้ข้าจะไม่ได้เห็นทั้งกองทัพของพวกมันทว่าจากกำลังเสริมที่หลั่งไหลเข้ามาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันนั้นมากมายมหาศาลทีเดียว อีกทั้งยังมีสัตว์ประหลาดมากมาย สัตว์ใหญ่อย่างมังกรก็มีไม่น้อยเลย ตามที่ข้าคิดหากพวกซาโลมยกกำลังพลมากมายถึงเพียงนี้ ข้าคิดว่าพวกมันคงไม่ได้ต้องการแค่บุกฟีเลเซียเป็นแน่” อัศวินเปกาซัสตอบ

“หรือว่าพวกมันหมายจะยึดทั้งทวีปเมอรีเซียนี้ เฮอะ! พวกมักใหญ่ใฝ่สูง” แม่ทัพระดับสูงนายหนึ่งกล่าวเหยียดหยาม ขณะที่แม่ทัพคนอื่น ๆ ต่างแสดงสีหน้ารังเกียจต่อการกระทำของอาณาจักรคนเถื่อน

“การจัดทัพใหญ่คงต้องใช้เวลาอยู่พอสมควร เราจำเป็นต้องส่งกองทัพไปยันทัพของซาโลมไว้ก่อนเพื่อรอการแต่งทัพใหญ่” ชาร์ลเอ่ยขึ้น คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน

“ข้าก็คิดเช่นนั้น ข้าคิดจะส่งพลเปกาซัส(Pegasus Rider) นักรบมังกรแห่งฟีเลเซีย(Felasia Dragoon)และ พลมังกร (Dragon Rider)เป็นแนวหน้าล่วงหน้าไปยันกับพวกมันไว้ก่อน แล้วให้เกณฑ์กำลังพลจากเมืองต่าง ๆ เข้าร่วมทัพด้วย ขณะเดียวกันท่านก็คุมทัพอัศวินเป็นทัพหน้าไปเสริมทางภาคพื้นดิน ส่วนข้าเมื่อเตรียมทัพใหญ่เรียบร้อยแล้วจะรีบยกพลตามไปทันที พวกท่านเห็นว่าอย่างไร?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสถามความเห็นจากบรรดาแม่ทัพ ซึ่งทุกคนก็ล้วนแล้วแต่เห็นชอบด้วย กษัตริย์ซิกมันด์ทรงหันไปทางพี่สาวของพระองค์

“ข้าแต่งตั้งให้เสด็จพี่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนข้า หากมีเรื่องด่วนอะไรข้าจะรีบส่งคนนำสารมาแจ้งทันที” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัส ซึ่งเจ้าหญิงเรจิน่าก็ทรงพยักพระพักตร์รับคำอย่างแข็งขัน

กษัตริย์แห่งฟีเลเซียทรงลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ประกาศก้อง“สั่งระดมพลได้”

***************************************



ในเวลาอันรวดเร็ว อัศวินเปกาซัสจำนวน สามร้อยนาย นักรบมังกรแห่งฟีเลเซีย ห้าร้อยนาย และพลมังกร เก้าร้อยนาย ก็ทะยานขึ้นเหนือน่านฟ้าฟีเลเซีย จำนวนทัพเปกาซัสและทัพมังกรที่แหวกอากาศขึ้นไต่ระดับความสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนดูราวกับผ้าคลุมผืนใหญ่ที่ค่อย ๆ แผ่คลุมฟีเลเซียให้รอดพ้นจากความร้อนแรงของแสงอาทิตย์

ขณะที่ทัพเปกาซัส และทัพมังกรกำลังมุ่งสู่สมรภูมิ ทัพภาคพื้นดินก็กำลังเร่งจัดแต่งทัพอย่างรวดเร็ว ชาร์ล คลาแรนซ์ แม่ทัพใหญ่แห่งฟีเลเซีย ในชุดเกราะเต็มยศพร้อมดาบคู่กายยืนอยู่เหนือกำแพงปราสาทเพื่อตรวจตราความพร้อมของกองทัพ พลันเสียงมหาดเล็กก็ดังขึ้นประกาศการเสด็จมาขององค์กษัตริย์ ชาร์ลรีบทำความเคารพทันทีเมื่อเห็น องค์ราชินีอลิเซีย กษัตริย์ซิกมันด์ เจ้าหญิงเรจิน่า และบิชอปเกรเกอรี่ เข้ามาร่วมตรวจทัพ

“จวนพร้อมเคลื่อนทัพแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ชาร์ลกล่าว

กษัตริย์ซิกมันด์ทรงพยักพระพักตร์เป็นเชิงรับรู้ ทอดพระเนตรไปยังกองทัพเบื้องล่าง

“กระหม่อมนำกำลังไปสองหมื่นเก้าพันเศษ เป็นอัศวินแปดพันนาย นักแม่นธนู(Felasia Archer) สองพันนาย อัศวินเซนทอร์(Centaur Knight) สามพันนาย ผู้ฝึกสัตว์(Beast Tamer)สามร้อยนาย นกร็อคแดง(Red Roc) สามร้อยตัว ซอร์กริฟฟิน(Soar Griffin)สามร้อยตัว นกซอร์วิง(Soar Wing)หนึ่งพันตัว ผู้ฝึกสัตว์ประหลาดแห่งฟีเลเซีย(Felasia Tamer)สามร้อยนาย มังกรดิมมินูวเลี่ยน(Dimminuialion, the Wind Dragon)สามสิบตัว และ ทหารชั้นเลวอีกหนึ่งหมื่นสี่พันนาย”

“เมื่อประเมินสถานการณ์และกำลังของข้าศึกเรียบร้อยแล้วให้รีบแจ้งกับมาที่เมืองหลวงทันที” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัส

“พ่ะย่ะค่ะ” ชาร์ลน้อมรับบัญชา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 17 การเผชิญหน้าของสองจอมทัพ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 19, 2009 11:39 pm

“หากการณ์นี้เป็นดังนิมิตของท่านบิชอป คงต้องลำบากท่านแม่ทัพแล้ว” ราชินีอลิเซียตรัสแก่แม่ทัพใหญ่ ดวงเนตรแฝงแววกังวลเล็กน้อย

แม่ทัพใหญ่ยิ้ม ทูลด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท เมื่อวันปฏิญาณตนนั้นกระหม่อมฉันได้กล่าวสัตย์ไว้ว่ากระหม่อมจะเป็นโล่และดาบให้แห่งฟีเลเซีย กระหม่อมพร้อมยอมพลีหากนำมาซึ่งศักดิ์ศรีและเกียรติยศแห่งฟีเลเซีย”

ราชินีอลิเซียยิ้มอย่างพอพระทัย “เราขอบใจท่านมาก”

ทันใด เสียงแตรก้านยาวก็ดังก้องเป็นสัญญาณจากกองทัพเบื้องล่าง

“พร้อมเคลื่อนทัพแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา” แม่ทัพกล่าวขอตัว

“ขอพระเจ้าโปรดประทานพระพรแก่ท่านและกองทัพให้ปลอดภัย มีชัยเหนืออริราชศัตรู” เกรเกอรี่อำนวยพรให้แก่ชาร์ล คลาแรนซ์

“ขอพระเจ้าทรงนำหน้าท่านและกองทัพ” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสอวยพร

“ขอพระเจ้าทรงคุ้มครอง” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัส

“ขอพระเจ้าทรงเมตตาท่านและกองทัพให้ปลอดภัย” ราชินีอลิเซียทรงอวยพร

ชาร์ล คลาแรนซ์ทำความเคารพก่อนจะเดินไปขึ้นรถม้าของตนอย่างองอาจสมชายชาตินักรบ รถม้าศึกสีน้ำตาลทองคันใหญ่ดูแข็งแรง ม้าศึกสายพันธุ์ชั้นเลิศสีน้ำตาลแดงสี่ตัวที่ใช้เทียมรถม้าของชาร์ลนั้นล้วนแล้วแต่ถูกฝึกมาอย่างดีเยี่ยม ฝีเท้านั้นรวดเร็ว ว่องไว และปราดเปรียว ทุกตัวนั้นหนุ่มแน่นและคึกคะนองสมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดอาชา แม่ทัพใหญ่ถือบังเหียนอย่างทะมัดทะแมง เขานำกองทัพถวายความเคารพแด่องค์กษัตริย์อีกครั้งเสียงเรียบอาวุธดังก้องไปทั่วยังความฮึกเหิมมาสู่เหล่านักรบและประชาชนชาวฟีเลเซียที่มาคอยส่งยิ่งนัก ขบวนนักบวชทั้งชายและหญิงหลายร้อยรูปออกเดินนำหน้ากลองทัพแห่งฟีเลเซียอย่างสมภาคภูมิ ครั้นถึงประตูเมืองบรรดานักบวชต่างยืนเรียงเป็นแถวยาวขนาบทั้งสองฝั่งถนน แม่ทัพใหญ่กระฉับสายบังเหียนก่อนจะสะบัดแส้เหนือม้าศึกควบทะยานสู่สมรภูมิด้วยความห้าวหาญ

*********************************


บริเวณทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ใกล้กับเมืองฟอร์เรนเชียขณะนี้ถูกแปรสภาพไปเป็นสนามรบของเหล่ากองทัพทั้งสองอาณาจักร ทุ่งหญ้าที่เคยเขียวขจีเวลานี้ถูกชโลมไปด้วยเลือดแล้วซากศพ ทัพเปกาซัสและทัพมังกรแห่งฟีเลเซียรวมกับกองทัพจากเมืองต่าง ๆ ในละแวกใกล้เคียงต่างเข้าโรมรันใส่ทัพหน้าของซาโลมอย่างรวดเร็วจนทัพฝ่ายซาโลมตั้งตัวแทบไม่ทันเพราะไม่คิดว่าจะมีกองทัพเปกาซัสและทัพมังกรออกมายันกับทัพของตน จึงไม่ได้เตรียมรับมือกับการรบทางอากาศไว้ ทัพซาโลมจึงทำได้แต่ตรึงกำลังทัพอยู่ทางด้านนอกเขตเมืองฟอร์เรนเชียก่อนจะเร่งนำความไปแจ้งแก่ทัพใหญ่ที่ตั้งคอยท่าอยู่บริเวณเมืองโครีธา

ภายในค่ายทหารของซาโลม เหล่าขุนศึกต่างอยู่กับพร้อมหน้า

“บ้าเอ้ย! ไม่คิดว่าไอ้พวกฟีเลเซียมันจะส่งกองทัพมาต้านเราเร็วขนาดนี้” กษัตริย์แห่งซาโลมตรัสด้วยความหงุดหงิดเมื่อถูกทัพเปกาซัสและทัพมังกรของฟีเลเซียเข้าขัดขวางการบุกเมือง

“คงเป็นเพราะเจ้าเมืองฟอร์เรนเชียส่งเปกาซัสไปแจ้งข่าวล่วงหน้า ทางเมืองหลวงจึงส่งกองทัพที่บินได้เร่งมายันทัพกับเรา อีกอย่าง...ทัพที่ส่งมายันกันเราในวันนี้ก็เป็นเพียงทัพที่ส่งมาถ่วงเวลาเราเท่านั้น ทัพจริงคงจะมาถึงในเร็ววันนี้แน่” แบล็ค ไวเซอร์ทูลน้ำเสียงแหบต่ำ ดวงตาหรี่เล็กลงข้างหนึ่ง ขณะที่ใช้มือซ้ายลูบวิหคโลกันต์ที่คลอเคลียอยู่ไม่ห่าง

“ทัพหลวงรึ?” ราโชยูถามน้ำเสียงนั้นแฝงความตื่นเต้นอยู่ในที

“หึ หึ ชักคันไม้คันมือแล้วใช่มั๊ยล่ะ?” กษัตริย์ซาดินตรัสอย่างรู้ทัน เพราะพระทัยของพระองค์ก็ฮึกเหิมมิต่างกัน

“ข้าพระองค์ไม่คิดว่าฟีเลเซียจะเกณฑ์ทัพได้ทันในเวลาที่น้อยเช่นนี้ ข้าพระองค์ได้ส่งหน่วยสอดแนมไปสังเกตการณ์แล้ว คาดว่าอีกไม่นานก็คงจะได้ข่าวอะไรกลับมา” เบลซ เซจออกความเห็น

ทันใด พลทหารนายหนึ่งก็เข้ามารายงานถึงการกลับมาของหน่วยสอดแนม กษัตริย์ซาดินจึงทรงเรียกให้เข้าเฝ้าทันที หน่วยสอดแนมซึ่งมีสภาพอิดโรยและเนื้อตัวมอมแมมอยู่ไม่น้อยเพราะต้องเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อเร่งกลับมาส่งข่าว เขาก้าวเข้ามายืนต่อหน้าพระที่นั่งพลางทำความเคารพองค์กษัตริย์อย่างรวดเร็วก่อนจะรายงานข่าวที่ตนไปสืบมาด้วยเสียงอันดัง

“ทูลฝ่าบาท ขณะนี้กองทัพแห่งฟีเลเซียจำนวนหลายหมื่นกำลังมุ่งหน้าสู่เมืองฟอร์เรนเชียอย่างรวดเร็ว คาดว่าคงเข้าเขตเมืองตอนย่ำรุ่งวันพรุ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ กองทัพนั้นมีทั้งนักแม่นธนู อัศวิน เซนทอร์ ผู้ฝึกสัตว์ป่า ผู้ฝึกสัตว์ประหลาด พลทหาร แล้วยังมี มังกร นกใหญ่และกริฟฟินอีกหลายพันตัวพ่ะย่ะค่ะ”

“ใครเป็นผู้นำทัพ?” เบลซ เซจ ถาม

“เป็นแม่ทัพหนุ่มวัยฉกรรจ์ ท่าทางคล่องแคล่วชำนิชำนาญการศึกมิใช่น้อย มีดาบขนาดใหญ่เป็นอาวุธ เท่าที่เห็นดาบจากด้ามจับจรดปลายดูจะสูงเลยตัวเขาเองเสียอีก”

“ชาร์ล คลาแรนซ์ ยอดขุนพลแห่งฟีเลเซีย ไม่ผิดแน่” แบล็คไวเซอร์ ขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง“ตั้งแต่สมัยที่ข้ายังอยู่ในฟีเลเซียเชิงดาบของเขาก็เป็นที่เลื่องลือไปทั่วว่าเป็นหนึ่งในฟีเลเซีย ฝ่าบาทไม่ควรประมาทบุคคลผู้นี้เป็นอันขาด”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 17 การเผชิญหน้าของสองจอมทัพ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 19, 2009 11:40 pm

“แต่ไหนแต่ไรมาฟีเลเซียนั้นก็ขึ้นชื่อนักว่าชำนาญการรบบนฟ้าไม่ต่างกับเชี่ยวชาญการศึกบนพื้นดิน หากฝ่าบาทปล่อยให้ทัพนี้เข้าประตูเมืองไปได้ ข้าพระองค์เกรงว่าจะกลายเป็นการเสริมทัพศัตรูให้แข็งแกร่งและจะทำให้การยึดฟีเลเซียนี้ล่าช้าออกไปอีกนะพ่ะย่ะค่ะ” เบลซ เซจทูลเตือน

กษัตริย์ซาดินพยักพระพักตร์ช้า ๆ ก่อนจะทรงหันไปถามความเห็นแม่ทัพคู่ใจ “เจ้าคิดว่าอย่างไร ราโชยู”

“สำหรับกระหม่อม พวกมันจะเข้าเมืองได้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ เพราะถึงอย่างไรกระหม่อมก็ต้องขยี้มันให้ราบเป็นหน้ากลองอยู่ดี” ราโชยูกล่าวด้วยน้ำเสียงมาดมั่น ชูมือที่กำแน่นขึ้นต่อหน้าองค์กษัตริย์อันแสดงถึงความหมายมั่นและกระหายที่จะประยุทธ์กับจอมทัพแห่งฟีเลเซีย

“หึ หึ เจ้าพูดได้ถูกใจข้าจริง ๆ แต่อย่างไรก็ให้แน่นอนไว้ก่อนเป็นดี ข้าคิดจะให้ยกทัพไปสองกอง กองหนึ่งให้บุกประชิดเมืองฟอร์เรนเชียโดยเน้นพวกที่โจมตีต่อต้านทางอากาศ อีกกองหนึ่งแยกไปยันกับทัพที่ยกมาช่วยเหลือ” กษัตริย์ซาดินทรงหันพระพักตร์ไปทางแม่ทัพใหญ่ ตรัสอย่างสบายอารมณ์ “ข้ายกหน้าที่นี้ให้เจ้า แสดงให้พวกมันเห็นถึงความน่ากลัวที่แท้จริงของเจ้า ข้าเองก็อยากจะรู้นักว่าฝีมือของจอมทัพฟีเลเซียคนนี้จะเก่งกาจสักแค่ไหน”

กษัตริย์ซาดินทรงยิ้มอย่างน่ารักมเกรียม ในขณะที่ราโชยูกระชับเคียวคู่กายอย่างแม่นมั่น ฉับพลันทุกคนในห้องต่างก็รู้สึกได้ถึงความกระหายเลือดที่แผ่ออกมาจากเคียวนั้น

“ใจเย็น ๆ อีกไม่นานหรอก” รอยยิ้มจาง ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าของแม่ทัพใหญ่ เขาพูดปลอบพลางใช้มือลูบปลายแหลมของคมเคียวไม่ต่างกับลูบสัตว์เลี้ยงตัวโปรด

“ดี!” กษัตริย์ซาดินตรัสชอบใจ “เรามารบกันจริง ๆ จัง ๆ เสียที เบลซเซจ เจ้าเอาดวงตาแก้วให้ราโชยูติดตัวไปด้วย ข้าอยากดูฝีมือแม่ทัพนั่น เอาล่ะ!แยกย้ายกันไปจัดการได้”

ทุกคนต่างทำความเคารพโดยพร้อมเพรียงกันก่อนจะรีบแยกย้ายไปจัดการงานของตนทันที

***********************************


ขบวนกองทัพแห่งฟีเลเซียนำโดย ชาร์ล คลาแรนซ์ เคลื่อนพลผ่านเมืองต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว เหล่าอัศวินและนักรบจากเมืองต่าง ๆ ที่กองทัพเคลื่อนผ่านต่างก็ทยอยกันเข้ามาเสริมกำลังทัพของชาร์ลให้ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ

ใกล้รุ่งสางแล้วขณะที่ทัพฟีเลเซียหยุดเคลื่อนทัพชั่วคราวเพื่อเปลี่ยนม้าเทียมรถศึกและพักให้น้ำแก่ม้าศึกทั้งหลาย ผู้ฝึกสัตว์ป่าสังกัดหน่วยสอดแนมนายหนึ่งก็รีบรุดเข้าพบแม่ทัพใหญ่เพื่อรายงานสถานการณ์และความเคลื่อนไหวของทัพซาโลม ผู้ฝึกสัตว์ป่าผู้มีรอยบากเป็นรอยใหญ่อยู่ที่ดวงตาข้างขวาพร้อมนกซอร์วิงคู่ใจ ขนสีครีมมันเงาที่เกาะอยู่บนไหล่ขวา เขาก้าวเข้ามายืนต่อหน้าแม่ทัพใหญ่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะทำความเคารพอย่างกระฉับกระเฉง

“ผู้ฝึกสัตว์ป่า ฟอล์คเนอร์ (Falkner, the Beast Tamer) สังกัดหน่วยสอดแนมรายงานตัวครับ” ฟอล์คเนอร์รายงานตัวเสียงหนักแน่นสมกันที่เป็นมือดีที่สุดของหน่วยสอดแนมฟีเลเซีย นกซอร์วิงของเขาสามารถเข้าไปในค่ายศัตรูและสืบข่าวได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และ เงียบเชียบที่สุด เขาจึงมักได้รับความไว้วางใจให้สืบข่าวสำคัญ ๆ เสมอ

“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง” ชาร์ลถามขึ้น เขานั่งอยู่บนกองหินใต้ต้นไม้ใหญ่ร่วมกับแม่ทัพนายกองเพื่อวางแผนการรบ

“กองทัพซาโลมแบ่งกำลังเป็นสามส่วน ส่วนแรกเป็นทัพใหญ่คุมเชิงอยู่บริเวณชานเมืองอาวีเลีย มีทหารตั้งค่ายประจำการณ์อยู่หลายแสนนายนำทัพโดยกษัตริย์ซาดิน ส่วนอีกสองทัพเป็นทัพย่อย ทัพหนึ่งมุ่งหน้าไปทางเมืองฟอร์เรนเชีย กำลังพลส่วนใหญ่เป็นมังกรไฟ คาดว่าเพื่อต่อกรกับทัพเปกาซัสและทัพมังกร อีกทัพหนึ่งมีกำลังพลประมาณสามหมื่น ตั้งมั่นคอยท่าเราอยู่บริเวณที่ราบนอกเขตเมืองฟอร์เรนเชีย นำทัพโดยราโชยู แม่ทัพใหญ่ของซาโลมครับ”

แม่ทัพฟีเลเซียยิ้มออกมาทันที “หึ หึ นึกแล้วไม่มีผิด พวกสัญชาติงูร้ายเกิดกลัวขึ้นมาแล้วละสิ” ชาร์ลลุกขึ้นจากก้อนหินใหญ่ “เอาล่ะ! พวกป่าเถื่อนก็ยังรู้ธรรมเนียม ในเมื่อแม่ทัพใหญ่แห่งซาโลมอุตส่าห์ให้เกียรติออกมาต้อนรับพวกเรา พวกเราก็ไม่ควรจะทำให้เขาผิดหวังจริงไหม” แม่ทัพใหญ่ทอดสายตาไปยังทิศทางเบื้องหน้า ยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก พลางออกคำสั่งเสียงเฉียบ “สั่งพลธนู และทัพนกให้เตรียมพร้อม เราจะบุกอย่างรวดเร็วชนิดที่พวกมันไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต”
************************************


บริเวณที่ราบรกร้างนอกเขตเมืองฟอร์เรนเชียเวลานี้คลาคร่ำไปด้วยพลรบของกองทัพเพลิงทมิฬ ประกอบไปด้วยนักรบเพลิงมารสองพันนาย กองกำลังนกโมฮาห้าพันนาย ผู้ฝึกสัตว์แห่งซาโลมสามร้อยนาย สุนัขเขาดาบ(Saber Horn Hound)หกร้อยตัว สุนัขป่าสองหาง (Two Tails Hell Hound)สามร้อยตัว กริฟฟินดำ(Black night Griffin)ห้าร้อยตัว มือเพชฌฆาตแห่งซาโลมห้าร้อยนาย มังกรดำโนฟโฮทิออนสิบตัว ทหารฝีมือดีหนึ่งหมื่นนาย และทหารชั้นเลวอีกหนึ่งหมื่นห้าพันนาย ราโชยูนั้นนั่งอยู่ในเพิงพลขนาดใหญ่ที่เพิ่งจะถูกสร้างขึ้นอย่างหยาบ ๆ จากต้นไม้ที่หาได้ในบริเวณนั้น เพิงนั้นตั้งอยู่บนเนินสูงซึ่งแม่ทัพใหญ่สามารถมองสอดส่องและสั่งการทัพได้อย่างทั่วถึง

แสงทองของรุ่งอรุณที่จับอยู่ตรงเส้นขอบฟ้านั้นสร้างความหงุดหงิดในใจให้กับแม่ทัพทมิฬที่รอคอยการมาของทัพฟีเลเซียอยู่ไม่น้อย เหล่าทหารแห่งซาโลมที่ตั้งขบวนทัพเป็นทิวแถวต่างก็รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ทุกคนต่างจับจ้องไปที่เนินสูงสุดเขตที่ราบอีกฟากหนึ่งอันเป็นจุดที่ทัพฟีเลเซียจะต้องเคลื่อนทัพมาประจัญกับพวกตน ทั่วทั้งท้องทุ่งนั้นนิ่งสงัดแม้ว่าจะมีทหารนับหมื่นนายประจำการอยู่ทว่ากลับไร้ซึ่งเสียงใด ๆ แม้แต่นกหรือแมลงที่เคยออกมากินน้ำค้างยอดหญ้าในยามเช้า มาวันนี้ก็กลับเงียบงัน

ไม่นานนักทั่วทั้งท้องทุ่งราบก็เริ่มรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้น ก้อนกรวดเล็ก ๆ ตามพื้นนั้นสั่นตามแรงสะเทือนจนดูราวกับกำลังเริงระบำ พลันเหล่าทหารก็ได้ยินเสียงควบของม้านับหมื่นที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จากทางใดทางหนึ่งของทุ่งราบ เสียงแตรก้านยาวหลายร้อยคันดังประสานกังวานจนสะท้อนก้องไปทั่วทั้งบริเวณ ฝูงสุนัขศึกต่างเริ่มส่งเสียงขู่คำรามไปยังทิศทางเบื้องหน้า แม่ทัพทมิฬยิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจก่อนจะพยักหน้าเป็นสัญญาณให้พลกลอง เสียงกลองก็ดังกระหึ่มระรั่วก้องเพื่อปลุกใจเหล่านักรบเพลิงให้ฮึกเหิมยิ่งขึ้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 17 การเผชิญหน้าของสองจอมทัพ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 19, 2009 11:41 pm

ชาร์ล คลาแรนซ์ กระชับสายบังเหียนแน่นควบรถศึกขึ้นเนินสูงมุ่งหน้าสู่ที่ราบกว้างอันเป็นที่ตั้งมั่นของกองทัพซาโลม เสียงกลองและเสียงโห่ร้องของทัพซาโลมดังสนั่นลั่นทุ่ง แม่ทัพหนุ่มควบรถม้าของตนทะยานขึ้นสู่ยอดเนินก่อนจะยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ แสงจากดวงอาทิตย์ที่เพิ่งจะเคลื่อนโผล่พ้นเส้นขอบภูเขาสะท้อนกับชุดเกราะสีเงินจนเกิดประกายเจิดจ้า ผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้มที่ต้องลมโบกสะบัดจนดูเหมือนว่าเขามีปีกสีน้ำเงินขนาดใหญ่โอบล้อมปกป้องเขาอยู่ การปรากฏตัวของแม่ทัพแห่งฟีเลเซียทำให้ทั่วทั้งท้องทุ่งเกิดความเงียบไปชั่วขณะเลยทีเดียว

ชาร์ลกวาดสายตาประเมินกองทัพข้าศึกอย่างรวดเร็ว และทันทีที่แม่ทัพใหญ่ตวัดมือลงลูกธนูนับพันดอกก็ถูกยิงข้ามเนินสูงใส่ทัพหน้าของซาโลมดั่งห่าฝน เสียงดีดของสายเอ็นและเสียงลูกธนูที่ว่ายแหวกอากาศครั้งแล้วครั้งเล่านั้นไม่ต่างกับเสียงเพลงแห่งความตายที่บรรเลงเพื่อประหัตประหารศัตรู

ทัพหน้าของซาโลมที่มั่วแต่ตกตะลึงต่างก็วิ่งหลบพลางใช้อาวุธและโล่ปัดป้องฝนธนูเป็นพัลวัน บ้างก็วิ่งหลบฝนธนูจนชนกันล้มลุกคลุกคลาน บ้างก็ถูกลูกธนูล้มตายเสียก็มาก เมื่อแม่ทัพหนุ่มเห็นว่าทัพหน้าของซาโลมเริ่มระส่ำระสายจนไม่เป็นขบวนแล้วจึงได้ให้สัญญาณอีกครั้ง ฝูงนกซอร์วิง ซอร์กริฟฟิน และ นกร็อคแดงก็โผทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบนด้วยความเร็วสูงก่อนจะพุ่งตัวลงจิกทึ้งเหล่าทหารซาโลมและฝูงสุนัขศึกอย่างเต็มกำลัง บ้างก็โฉบเอาเหล่าข้าศึกไม่ว่าจะเป็นทหารหรือสุนัขศึกขึ้นสูงสู่ห้วงอากาศก่อนจะจิกทึ้งนับครั้งไม่ถ้วน บนท้องฟ้าที่ไร้ซึ่งแผ่นดินให้เหยียบยืนเหยื่อที่เคราะห์ร้ายแทบจะไม่มีทางต่อกรกับนกยักษ์ได้เลย เมื่อจิกทึ้งจนหน่ำใจแล้วมันก็ปล่อยเหยื่อทิ้งกลางอากาศ ร่างเหยื่อก็ดิ่งลงสู่พื้นเบื้องล่างอย่างรวดเร็วจนร่างกายแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี ซอร์วิงบางตัวเสียท่าถูกสุนัขศึกตะครุบตัวไว้ได้ก็ถูกกัดกินจนตายไปก็มาก เมื่อซาโลมดูเหมือนจะเสียเปรียบเหล่าทัพนก กองทัพก็รีบส่งมังกรดำโนฟโฮทิออนออกมาจัดการกับเหล่านกยักษ์ทั้งหลาย ซึ่งฟีเลเซียก็ไม่รอช้าที่จะส่งมังกรดิมมินูวเลี่ยนเข้าต่อกรด้วย ทำให้การสู้รบทวีความรุนแรงและดุเดือดยิ่งขึ้น

แม่ทัพแห่งฟีเลเซียไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างสูญเปล่าแม้เพียงเสี้ยววินาที เขาเอื้อมมือจับดาบคู่กายตวัดอย่างรวดเร็วชี้ไปยังกองทัพศัตรูเบื้องล่าง ทันใดนั้นเสียงโห่ร้องของทหารหาญแห่งฟีเลเซียก็ดังกึกก้องพร้อมกับเหล่าอัศวินนับพันนับหมื่นที่ควบม้ากระโจนข้ามเนินตรงเข้าฟาดฟันศัตรู ทัพซาโลมที่ถูกจู่โจมอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบทั้งทางอากาศและทางพื้นดินจนตั้งตัวไม่ทันทำให้ถูกรุกไล่จนต้องถอยร่นไม่เป็นขบวน เสียงอาวุธปะทะกันดังไปทั่วพร้อมกับการบุกทะลวงทำลายแนวทัพของซาโลมจากเหล่าอัศวินแห่งฟีเลเซีย

เมื่อตั้งสติได้ราโชยูก็รีบสั่งรั่วกลองแปรขบวนทัพเพื่อรับมือกับทัพฟีเลเซียอย่างเต็มกำลัง เหล่ามือเพชฌฆาตแห่งซาโลมต่างกระโจนเข้าหาอัศวินบนหลังม้าก่อนจะใช้กงเล็บเหล็กอันใหญ่โตเด็ดหัวศัตรู กองกำลังนกโมฮาที่มีทวนขนาดใหญ่และยาวกว่าก็ทำให้ได้เปรียบฝ่ายฟีเลเซียอยู่ไม่น้อย กระนั้นก็ดีความรวดเร็วและความชำนาญศึกของฟีเลเซียก็ช่วยเอื้อให้กองทัพไม่ตกเป็นรองมากนัก ซ้ำยังมีทัพนกและพลธนูคอยสนันสนุนตลอดเวลาซึ่งก็สามารถก่อกวนทัพซาโลมได้อย่างดีทีเดียว

ชาร์ลมองตรงไปยังเพิงพลบนเนินสูงอันเป็นที่มั่นของแม่ทัพใหญ่แห่งซาโลม มีธงรูปวิหคเพลิงขนาดใหญ่โบกสะบัดเหนือเพิงพลนั้น เขาพยายามเพ่งมองผู้ที่อยู่ภายใน แม้จะมองเห็นไม่ถนัดนักแต่ก็รู้ได้ว่าเขามีรูปร่างสูงใหญ่มากเมื่อเทียบกับนายทหารที่อยู่โดยรอบ แม่ทัพหนุ่มกวาดตามองสภาพโดยรอบเพิงพลอีกครั้งราวกับจะจดจำรายละเอียดและตำแหน่งการวางกำลังพลของฝ่ายตรงข้าม เขามองไล่ละการจัดวางแนวรบของศัตรูตลอดจนตำแหน่งของพวกมังกร แม่ทัพหนุ่มให้สัญญาณรองแม่ทัพนายหนึ่งให้ขึ้นคุมบังเหียนม้าแทนตน

“นี่ท่านคิดจะฝ่าดงศัตรูไปเด็ดหัวแม่ทัพฝ่ายนั้นอีกแล้วหรือ?”

“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบการรบที่ยืดเยื้อ จัดการตัวหัวหน้าได้ พวกที่เหลือก็ไร้ค่า เจ้าขับไปส่งข้าถึงบริเวณสนามรบก็พอ ที่เหลือข้าจัดการเอง”


รถม้าศึกห้อควบลงเนินราวกับติดปีกโดยมีแม่ทัพใหญ่ยืนตระหง่านอยู่บนรถศึก ทันทีที่รถวิ่งมาถึงสนามรบ แม่ทัพใหญ่ก็กระโดดลงจากรถก่อนจะพุ่งตัวตวัดดาบใส่ศัตรูอย่างรวดเร็ว ด้วยความใหญ่โตของดาบและความเร็วของแม่ทัพหนุ่ม แค่ตวัดดาบเพียงครั้งเดียวทหารซาโลมนับสิบก็ถูกคมดาบตัดจนตัวขาดเป็นสองท่อน โล่และชุดเกราะถูกตัดขาดไม่ต่างกับกระดาษบาง ๆ ชาร์ลวิ่งซิกแซกหลบหลีกพวกสัตว์ใหญ่ได้อย่างคล่องแคล้ว ด้วยเพราะการจดจำตำแหน่งทัพที่แม่นยำตั้งแต่อยู่บนเนินสูง ทหารซาโลมที่อยู่ในเส้นทางผ่านของแม่ทัพแห่งฟีเลเซียล้วนถูกสังหารล้มตายดั่งใบไม้ร่วง เศษชิ้นส่วนที่ถูกฟัดจนขาดไม่ว่าจะเป็นแขนบ้าง ขาบ้าง ศีรษะบ้างต่างก็กระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง เสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดของทหารดังระงมตลอดทางที่ชาร์ลผ่านไป ทหารบางคนถูกคมดาบสังหารก่อนที่จะทันรู้ตัว ก็พาร่างไร้วิญญาณวิ่งเข้าหาศัตรู และเพียงไม่กี่ก้าวร่างกายก็ขาดออกจากกันจนกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ


“ปกป้องท่านแม่ทัพ!!”

เหล่าทหารองครักษ์แห่งซาโลมเมื่อเห็นแม่ทัพฟีเลเซียที่มุ่งตรงมายังเพิงพลอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อเช่นนี้ก็เดาเจตนาของแม่ทัพฝ่ายศัตรูได้ไม่ยาก ทว่าความเร็วของแม่ทัพชาวฟีเลเซียนั้นรวดเร็วจนเหล่าองครักษ์ประหวั่นพรั่นพรึง เพราะเพียงเห็นอยู่ไกล ๆ แต่ฉับพลันดาบมหึมาก็ฟาดมาถึงตัวเองแล้ว จะขยับไปทางใดก็ไม่แคล้วเป็นเหยื่อคมดาบของแม่ทัพฟีเลเซีย ไม่มีใครมีเวลาแม้จะยกโล่หรืออาวุธขึ้นปกป้องตัวเอง ผ้าคลุมที่พลิ้วพุ่งผ่านแผงกองทัพจากทะเลทราย เวลานี้ดุจดังภาพของอินทรียักษ์ที่บินพุ่งแหวกเมฆสีแดง อย่างง่ายดาย และรวดเร็วยิ่งนัก

เหล่าทหารองครักษ์ตั้งแถวเรียงหน้ากระดานซ้อนกันถึงห้าแถว พร้อมตั้งหอกขนาดใหญ่คอยต้านแม่ทัพฟีเลเซียโดยมีโล่เหล็กตั้งเรียงรายเป็นเกราะคุ้มกันอีกห้าชั้นล้อมรอบเพิงพลของราโชยูไว้ เหล่าทหารชั้นในต่างก็อุ่นใจที่ตนมีโอกาสรอดชีวิตมากกว่าพวกที่อยู่แถวหน้า แต่คิดได้เพียงเท่านั้นรัศมีจากคมดาบขนาดใหญ่ก็กวาดเอาทหารแถวในนับสิบล้มตายลงโดยที่คมดาบเจาะผ่านทหารแถวหน้าสุดไปเพียงสองคนเท่านั้น เหล่าทหารต่างก็ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนมองซากชิ้นส่วนที่ระเกะระกะจมกองเลือดอยู่บนพื้น

ชาร์ลตวัดดาบของตนกลับพลางมองผ่านแถวทหารที่ตนเพิ่งจะเบิกทางด้วยความตายไปยังแม่ทัพแห่งซาโลมที่กำลังมองตรงมายังตนอยู่ด้วยเช่นกัน

“ฝีมือของแม่ทัพใหญ่แห่งฟีเลเซียนี้น่าดูชมจริง ๆ ข้าประทับใจมาก” ราโชยูกล่าวอย่างยินดี

“เจ้าเลิกส่งทหารไร้ฝีมือพวกนี้มาเป็นเหยื่อคมดาบของข้าเสียทีเถิด ลงมาสู้กันให้รู้แพ้รู้ชนะไปเลยไม่ดีกว่าหรือ? ข้า ชาร์ล คราแรนซ์ จอมทัพแห่งฟีเลเซีย ให้เวลาเจ้าหนึ่งตวัดดาบว่าจะจัดที่ประลองเองหรือจะให้ข้าจัดให้”

พลันสายตาของแม่ทัพหนุ่มก็เหลือบไปเห็นธงแห่งฟีเลเซียถูกนำมาเป็นผ้ารองเท้าให้แก่แม่ทัพทมิฬ ชาร์ลกัดกรามแน่นเมื่อเกียรติยศและศักดิ์ศรีแห่งฟีเลเซียต้องมาถูกหยามเหยียดเยี่ยงนี้ ชาร์ลพุ่งตัวไปข้างหน้าสู่ช่องว่างของแถวทหารที่ตนเป็นผู้เบิกทางไว้เมื่อสักครู่อย่างรวดเร็ว เขาย่อตัวลงต่ำและในเสี้ยววินาทีนั้นเขาก็ตวัดดาบเหนือศีรษะเป็นวงกว้างจนสุดแขน ความรวดเร็วของเขาทำให้ดูเหมือนว่าเขาขยับตัวเพียงนิดหน่อยเท่านั้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 17 การเผชิญหน้าของสองจอมทัพ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 19, 2009 11:42 pm

ชาร์ลยืดตัวขึ้นช้า ๆ ในขณะที่ทหารรอบตัวของเขาโดยเริ่มจากคนที่อยู่แถวในสุดก็ล้มลงตัวขาดออกจากกันไปชนคนถัดมาเรื่อย ๆ ทั้งทางซ้ายและขวากว่ายี่สิบนาย เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นเจิ่งนองไปทั่ว

ณ บัดนี้ เหล่าทหารซาโลมชั้นผู้น้อยตระหนักว่าต่อหน้าแม่ทัพผู้องอาจแห่งฟีเลเซีย พวกตนเป็นดั่งแมลงที่อยู่ต่อหน้าพญาอินทรีมีแต่จะถูกขยี้เป็นทางผ่านเท่านั้น

“นี่มนุษย์หรือเทพสงครามกันนี่?” เสียงทหารซาโลมคนหนึ่งที่ยืนเพื่อปกป้องแม่ทัพของตนอยู่แถวในสุดบริเวณด้านหน้าของราโชยูกล่าวออกมาแผ่วเบาก่อนกายท่อนบนจะตกลงบนพื้น และกายท่อนล่างค่อย ๆ ล้มลงตาม

เมื่อแม่ทัพแห่งฟีเลเซียเหลือบตามองรอบ ๆ ตัวก็เห็นว่าทหารจากอาณาจักรทะเลทรายที่เหลือถอยตัวแตกฮืออย่างตื่นตระหนกออกห่างเป็นวงกว้าง จึงยิ้มขันกล่าวเย้ยแม่ทัพทมิฬ “ดูเหมือนทหารของเจ้าจะพูดรู้ภาษากว่า ถึงได้รีบจัดที่ให้ข้าก่อนที่เจ้าจะสั่งเสียอีก”

ถึงคราวนี้ ราโชยูก็เริ่มมีอารมณ์โกรธขึ้นมาบ้าง เมื่อทหารเสียขวัญจนสร้างความอับอายมาสู่ตนและกองทัพ ราโชยูคว้าเคียวคู่ใจกระโดดลงจากเพิงพลพุ่งตัวเข้าใส่ชาร์ลอย่างเร็ว เสียงอาวุธต่ออาวุธกระทบกันดังก้อง เสียงเท้าของขุนพลร่างยักษ์กระทบพื้นที่บัดนี้เจิ่งนองไปด้วยโลหิตสีแดงและเศษชิ้นร่างมนุษย์สาดกระเซ็นเป็นวงกว้าง นัยน์ตาถมึงจ้องผ่านหมวกเกราะไปยังนักรบหนุ่มผู้งามสง่า ในใจของแม่ทัพซาโลมเกิดความฮึกเหิมมาทันทีเมื่อได้ประดาบแรกกับคู่ดวลที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ทั้งคู่ต่างก็ยันอาวุธกันไปมาเพื่อหยั่งเชิงและกำลังของอีกฝ่าย ทว่าพอเท้าของราโชยูย่ำอยู่ในแอ่งเลือดที่เจิ่งนอง เคียวของเขาก็เริ่มแผ่กระจายรังสีแห่งความกระหายเลือดออกมาอย่างรุนแรงจนทุกคนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ข้างฝ่ายแม่ทัพหนุ่มแห่งฟีเลเซียทันทีที่อาวุธของเขาสัมผัสกับเคียวนั้นก็รู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาของอาวุธนี้ เขารู้สึกว่ามีพลังบางอย่างค่อย ๆ ไหลเข้าสู่ดาบจากบริเวณที่เคียวและดาบสัมผัสกัน และมันกำลังเริ่มคืบคลานเข้าสู่ปลายนิ้วของเขา เขาขมวดคิ้วเข้าหากันทันที มองตรงไปยังเคียวนั้นและเริ่มสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างกลอกกลิ้งไปมาตรงบริเวณรอยแยกเล็ก ๆ ด้านท้ายของคมเคียว ชาร์ลจึงรีบผละถอยออกทันที

“ช่างขวัญอ่อนเสียจริง...” ราโชยูแสยะยิ้มบ้าง

พูดยังไม่ทันจบนกซอร์วิงตัวหนึ่งก็ร้องเสียงดังจากทางเบื้องบนของคนทั้งคู่ นกซอร์วิงบินวนเหนือพวกเขาสองรอบก่อนจะบินกลับไปอย่างรวดเร็ว ชาร์ลรู้ได้ทันทีว่าเป็นฟอล์คเนอร์นั่นเองที่ส่งนกซอร์วิงตัวนี้มา นั่นก็หมายความว่ามีข่าวสารสำคัญมาถึง ทันทีที่ชาร์ลหันกลับมาก็ได้เห็นนายทหารนายหนึ่งวิ่งมากระซิบอะไรบางอย่างกับแม่ทัพทมิฬ ราโชยูมีสีหน้าไม่ใคร่จะพอใจนักก่อนที่จะมองกลับมาทางตน แม่ทัพทมิฬแสร้งยิ้มให้พลางกล่าวว่า

“วันนี้ท่าทางจะไม่ใช่วันของเราเสียแล้ว เจอกันครั้งหน้าข้าจะไม่รอให้เจ้าบุกมาเชิญถึงที่แน่”

สิ้นคำแม่ทัพทมิฬก็ให้สัญญาณถอนทัพพร้อมเรียกมังกรดำโนฟโฮทิออนของตนออกมา ก่อนจะขี่มันจากไป ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องในชัยชนะของเหล่าอัศวินแห่งฟีเลเซีย

“เดี๋ยว! บ้าจริง” ชาร์ลสถบอย่างขัดเคืองแต่ก็ต้องจำยอมไม่คิดจะตามไล่ล่าไปเช่นกัน แม้การหนีไปประลองไปกลางคันเช่นนี้จะเป็นสิ่งที่น่ารักเกียจสำหรับอัศวินชาวซีแต่เพราะเขาเองนั้นห่วงทางเมืองฟอร์เรนเชียมากกว่าจึงได้แต่หมายมั่นว่าในการประลองคราวหน้าเขาต้องเด็ดหัวแม่ทัพเถื่อน เพื่อล้างอายที่ถูกหยามศักดิ์ศรีในครั้งนี้ จึงสั่งเร่งรวบร่วมคนเจ็บก่อนจะเคลื่อนขบวนเข้าสู่เมืองฟอร์เรนเชียทันที


*************************************


ณ วังหลวงแห่งอาณาจักรซาโลม

หลังจากที่กษัตริย์ซาดินทรงยกทัพออกจากซาโลมและได้ฝากฝังเจ้าชายอิสฮาน โอรสแต่องค์เดียวของพระองค์ไว้ในความดูแลของนาริส สุไลมาน มหาอำมาตย์ผู้นี้ก็ทุ่มเทอบรมสั่งสอนวิชาความรู้ต่าง ๆ ให้มากมาย ทั้งศาสตร์ ศิลป์ เชิงยุทธ์ ปรัชญา ตลอดจนคุณธรรม จริยธรรมให้แก่พระโอรสอย่างเต็มที่

ช่วงเวลาบ่ายของทุกวันที่ห้องทรงหนังสือจะเป็นเวลาร่ำเรียนขององค์รัชทายาท ซึ่งเป็นช่วงที่เจ้าชายอิสฮานโปรดมากที่สุดเลยทีเดียว และในวันนี้ก็เช่นกันที่พระโอรสองค์น้อยวัยแปดชันษาผู้นี้ทรงรีบเข้ามาประทับรอในห้องทรงหนังสือก่อนที่นาริสจะเข้าสอนเสียอีก

“ท่านนาริส วันนี้ท่านจะเล่าเรื่องอะไรให้เราฟัง?” เจ้าชายน้อยในชุดเสื้อตัวโปร่งสีขาวเบาสบายตรัสถามอย่างกระตือรือร้นเมื่อเห็นนาริสเดินเข้าห้องมา

นาริสยิ้มให้อย่างเอ็นดู การที่จะทำให้เด็ก ๆ รักที่จะเรียนรู้นั้น เพียงแค่รู้จักปรับเนื้อหาวิชาความรู้ให้ง่าย สนุกน่าติดตาม และคอยสอดแทรกสาระต่าง ๆ ให้ เท่านี้เด็ก ๆ ก็ไม่อยากจะพลาดการเรียนแม้เพียงสักวัน

“วันนี้เรามาเรียนเรื่องประวัติศาสตร์กันดีไหมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทจะได้รู้ว่าก่อนหน้าที่เราจะตั้งอาณาจักรซาโลมที่นี่ พวกเราเคยเป็นชนเผ่าเร่ร่อนที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนในทะเลทรายจนกระทั่งถึงรุ่นของเสด็จปู่ของพระองค์”

“เรามีเสด็จปู่ด้วยเหรอ?” เจ้าชายอิสฮานตรัสถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“มีสิพ่ะย่ะค่ะ ทุก ๆ คนย่อมมีปู่กันทั้งนั้น” นาริสยิ้ม

“ท่านก็มีหรือ?”

“พ่ะย่ะค่ะ”

“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ด้วย?”

“พ่ะย่ะค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น ทำไมเราไม่เคยได้ยินเรื่องของเสด็จปู่เลยละท่านนาริส?” เจ้าชายฮิสฮานทรงสงสัย

“ก็เพราะองค์ซาดินไม่ชอบให้ใครพูดถึงน่ะสิพ่ะย่ะค่ะ”

“เสด็จพ่อเกลียดเสด็จปู่เหรอ?” คำถามของเจ้าชายอิสฮานทำเอานาริสนิ่งเงียบไปชั่วครู่ “เหมือนเราเลย เราก็เกลียดเสด็จพ่อ เสด็จพ่อใจร้าย...”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 17 การเผชิญหน้าของสองจอมทัพ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 19, 2009 11:43 pm

นาริสรีบปรามเจ้าชายน้อยทันที เพราะเป็นการไม่เหมาะสมนักที่บุตรจะพูดถึงบิดาเยี่ยงนี้ ทั้งยังไม่เหมาะอย่างยิ่งหากเหล่าข้าราชบริพารมาได้ยินเข้า “ฝ่าบาทไม่ควรใช้วาจาแบบนี้นะพ่ะย่ะค่ะ พระบิดาของพระองค์ก็มีรูปแบบความรักในแบบของเขา องค์ซาดินอาจจะไม่รู้จักการแสดงความรัก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพระบิดาจะไม่ทรงรักฝ่าบาทนะพ่ะย่ะค่ะ”

เจ้าชายอิสฮานทรงเบ้พระโอษฐ์จนแก้มป่อง คำพูดของมหาอำมาตย์นั้นเชื่อได้ยากเหลือเกิน ถ้าเสด็จพ่อรักพระองค์จริง ทำไมถึงต้องพรากเสด็จแม่ไป ทำไมถึงไม่เคยมาเยี่ยมเวลาที่พระองค์ไม่สบาย ทำไมไม่เคยกอดพระองค์สักครั้งเล่า แต่ก็ดี...พระองค์ก็ไม่ได้อยากจะให้เสด็จพ่อกอดนักหรอก แค่มีเสด็จแม่ก็เพียงพอแล้วสำหรับพระองค์

นาริสเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจดีว่าพระโอรสคิดอะไรอยู่จึงทูลตัดบทว่า “เอาเถิดพระโอรส เวลานี้พระองค์คงยังไม่ทรงเชื่อที่กระหม่อมทูล แต่สักวันหนึ่งเมื่อพระองค์เติบใหญ่ พระองค์ก็จะทรงเข้าใจในสิ่งที่กระหม่อมทูลในวันนี้”

เจ้าชายอิสฮานทรงพยักพระพักตร์รับอย่างไม่ค่อยเต็มพระทัยนักแต่พระองค์ก็ทรงยอมรับฟังแต่โดยดี เพราะสำหรับพระองค์แล้วนาริสเป็นยิ่งกว่ามหาอำมาตย์หรือราชครู นาริสรอบรู้ทุกเรื่อง สอนพระองค์ทุกอย่างตั้งแต่สิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันตลอดจนวิชาความรู้ทั้งหลาย นาริสคือครูใจดี ดูแลพระองค์อย่างดี อีกทั้งยังรู้ใจและเข้าใจพระองค์ไปเสียทุกอย่าง

“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นเรามาเริ่มเรียนกันต่อดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ ในสมัยนั้นทั่วทั้งทะเลทรายมีเผ่าเล็กเผ่าน้อยกระจายอยู่มากมายหนึ่งในนั้นก็มีเผ่าซาโลมของเราอยู่ด้วย เผ่าของเราค่อนข้างใหญ่ทีเดียวและเราได้ครอบครองโอเอซิสที่สมบูรณ์ที่สุดอีกด้วย” นาริสเล่าพลางชี้แผนที่หนังที่ติดอยู่ตรงกำแพงใกล้ ๆ ให้พระโอรสทอดพระเนตร ซึ่งพระโอรสก็ทรงตั้งพระทัยฟังอย่างดี

“หัวหน้าเผ่าแต่ละรุ่นก็ล้วนแต่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างดี จนกระทั่งมาถึงรุ่นเสด็จปู่ของพระองค์...”

“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” เจ้าชายอิสฮานตรัสถามอย่างสงสัยใคร่รู้

“ครั้งนั้นจะเรียกได้ว่าเป็นยุคแห่งความแร้นแค้นเลยก็ว่าได้ เกิดความแห้งแล้งกันดารอย่างรุนแรง ฝนไม่ตกเป็นปี ๆ ทำให้เผ่าต่าง ๆ พยายามเอาชีวิตรอดด้วยการรุกรานแย่งชิงโอเอซิสของเผ่าอื่น ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าหากตนพ่ายแพ้ย่อมหมายถึงการอดตายในนรกทะเลทราย จึงเข้าห้ำหั่นกันอย่างรุนแรง ป่าเถื่อน และโหดน่ารักมอย่างที่สุด และเป็นธรรมดาว่าโอเอซิสที่สมบูรณ์ที่สุดย่อมเป็นที่ถูกหมายตามากที่สุดเช่นกัน”

“แล้วเสด็จปู่ก็ต่อสู้เพื่อปกป้องโอเอซิสอย่างกล้าหาญใช่มั๊ย?” เจ้าชายอิสฮานตรัสถามอย่างตื่นเต้น

นาริสยิ้ม ตอบว่า “ตรงกันข้ามพ่ะย่ะค่ะ เสด็จปู่ของพระองค์ทรงแบ่งโอเอซิสให้เผ่าต่าง ๆ ใช้ด้วยกัน”

เจ้าชายอิสฮานทรงจ้องนาริสด้วยดวงเนตรคมโต แสดงสีพระพักตร์ประหลาดพระทัยอย่างเห็นได้ชัด การแบ่งโอเอซิสให้เผ่าต่าง ๆ ได้ใช้ หมายความว่าตนเองก็อาจจะมีไม่พอใช้ในอนาคตอันใกล้มิใช่หรือ?

“แต่ทว่าเมื่อความโลภเข้าครอบงำ มิตรก็กลายเป็นศัตรูได้เพียงชั่วข้ามคืน หลังจากที่เสด็จปู่ของพระองค์แบ่งที่ให้เผ่าต่าง ๆ ได้ร่วมโอเอซิส พวกเขาก็ร่วมมือกันขับไล่เผ่าของเราออกจากโอเอซิสของเราเอง”

“พวกขี้โกง ! เสด็จปู่ต่อสู้กับพวกนั้นอย่างกล้าหาญแล้วสิคราวนี้?” เจ้าชายอิสฮานตรัสถามอย่างมีความหวัง

นาริส ส่ายหน้าช้า ๆ “เพราะเสด็จปู่ของพระองค์ทรงรักสันติ เกลียดสงคราม และเป็นคนไม่สู้คน พระองค์ยอมก้มหน้ารับชะตากรรมทุกอย่างที่ฟ้าจะมอบให้พระองค์ เมื่อพบโอเอซิสแห่งใหม่ได้ไม่นานก็ถูกรุกรานอีก เป็นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งสุดท้ายผู้รุกรานก็ได้สังหารพระองค์และชาวเผ่าไปมากมาย ตอนนั้นองค์ซาดินและพระนางเนอริมอร์ก็ยังทรงพระเยาว์นักจึงได้แต่หนีหัวซุกหัวซุนและต้องอยู่อย่างอดอยากในทะเลทรายที่สุดแสนกันดาร”

“เสด็จพ่อไม่เหมือนเสด็จปู่เลย...........?” เจ้าชายอิสฮานตรัสอย่างครุ่นคิด

“พ่ะย่ะค่ะ ต่างกันราวกับแสงสว่างกับความมืด..........”นาริสกล่าวสายตาทอดไกลไปยังภาพอดีต

“องค์ซาดินในขณะนั้นต้องพบกับภาพอันโหดร้ายต่อหน้าต่อตา พระองค์ทรงทำลายความอ่อนแอทุกอย่างในจิตใจจนหมดสิ้น จนแม้แต่การกำจัดภาพบิดาผู้อ่อนแอในสายตาของพระองค์ออกจากความทรงจำของพระองค์จนไม่มีเหลือ…จนดูราวกับว่า ณ วันที่สิ้นบิดาของพระองค์ พระองค์ก็ได้กำเนิดเป็นคนใหม่ที่เข้มแข็งเด็ดขาดยิ่งนัก สภาพการณ์ในขณะนั้นบีบคั้นให้ต้องเป็นหัวหน้าเผ่าตั้งแต่อายุยังน้อย ทรงต่อสู้กับเผ่าต่าง ๆ อย่างกล้าหาญตรงข้ามกับเสด็จปู่ของพระองค์ และทรงโจมตีก่อนเสมอ โดยเฉพาะเผ่าใดที่มีทีท่าอันตราย องค์ซาดินจะทรงเข้าโจมตีเผ่านั้นทันที ไม่ให้ได้ตั้งตัวซ่องสุมกำลังพลได้ทัน ด้วยว่าจะไม่ทรงยอมเป็นผู้ถูกแย่งชิง แต่จะทรงเป็นผู้ที่แย่งชิงเสียเอง จนในเวลาเพียงห้าปีก็สามารถปราบชนเผ่าทั้งสิบหกเผ่าจากสิบเจ็ดเผ่าในทะเลทรายเหนือ และสถาปนาจักรวรรดิซาโลมขึ้น ทั้งยังทรงขยายพระราชอาณาจักรอย่างไม่หยุดหย่อนเลยตั้งแต่ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งซาโลม ทรงทุ่มเทชีวิตให้ราชกิจจนอาจจะหลงลืมพระโอรส หรือพระนางเนอริมอร์ไปบ้าง แต่ทั้งหมดก็เพื่อพระโอรสจะได้ไม่ต้องประสบกับการไร้แผ่นดินอยู่อย่างที่พระองค์เคยประสบนะพ่ะย่ะค่ะ”

เจ้าชายอิสฮานทรงคิดถึงหลักการปกครองที่เรียนรู้มาก่อนเปรยออกมาเบา ๆ “เสด็จปู่เป็นกษัตริย์ที่สู้เสด็จพ่อไม่ได้สินะ”

“กระหม่อมกลับชอบวิธีการของเสด็จปู่ของพระองค์มากกว่านะพ่ะย่ะค่ะ”

“ทำไมล่ะ เสด็จปู่ทำให้เผ่าอดอยาก และชาวเผ่าถูกฆ่าตายไปมากมายไม่ใช่หรือ?”

“เสด็จปู่ของพระองค์อาจจะไม่ใช่คนเด็ดขาด และสู้คน เอาแต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมก็จริง แต่พระองค์ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำใจ และรักสันติ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่จะยั่งยืนและนำพาผู้คนให้สงบสุขได้ และก็เพราะความดีของพระองค์ท่าน หม่อมฉันเป็นคนหนึ่งที่ถวายการรับใช้มาตั้งแต่สมัยปู่ของพระองค์ พระองค์ท่านเป็นคนมีน้ำใจ และอ่อนโยน ผู้คนในเผ่าทุกคนรักพระองค์มาก กระหม่อมเองขณะนั้นเป็นทหารเอกของพระองค์ท่าน แต่พระองค์ก็ถือกระหม่อมเป็นเสมือนเพื่อนมากกว่าข้ารับใช้ กระหม่อมเองซาบซึ้งในจิตใจยิ่งจนสาบานต่อหน้าพระศพของพระองค์ท่านว่ากระหม่อมจะจงรักภักดีต่อพระองค์ท่านและดูแลลูกหลานของพระองค์ทุกพระองค์ยิ่งกว่าชีวิต จะทำหน้าที่แทนพระองค์จนกว่าชีวิตจะหาไม่”

เจ้าชายน้อยดวงเนตรเป็นประกาย “เช่นนั้น ท่านนาริสก็เสมือนเป็นท่านปู่ของเราน่ะสิ เราชอบท่านนาริสมาก รักมากกว่าเสด็จพ่อเสียอีกแต่รองจากเสด็จแม่นะ”

อำมาตย์ชรานัยน์ตาตื้นไปด้วยน้ำตาคลอ มองใบหน้ายิ้มแย้มของเด็กน้อยอย่างซาบซึ้ง ทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว แต่ในใจนั้นปลื้มปิติโลดขึ้นสูงแทบจะทะลุเพดาน กล่าวเสียงเครือ

“ตาแก่คนนี้มิบังอาจเทียบกับเสด็จปู่ของพระองค์ และองค์ซาดินหรอกพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่มีค่าเทียบกับพระบิดาที่ปรีชาสามารถและทรงให้กำเนิด หรือเสด็จปู่ที่น้ำพระทัยล้ำเลิศ องค์ซาร์ของกระหม่อม....... น้ำพระทัยที่ทรงมอบให้เกินกว่าที่กระหม่อมจะสมควรรับ คนชราอย่างกระหม่อมได้ถวายรับใช้เช่นนี้ก็เป็นเกียรติยิ่ง แต่ถ้าเสด็จปู่ของพระองค์ยังทรงพระชนม์ จะทรงปฏิบัติได้ดีกว่ากระหม่อมร้อยเท่า และความรักนี้ ควรจะเป็นของเสด็จปู่ของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

“เราเข้าใจแล้ว” องค์ชายน้อยทรงพยักพระพักตร์ “ถ้าเช่นนั้นเราก็รักท่านนาริส และ เสด็จปู่ด้วย”

“นี่เป็นความลับของเรานะพ่ะย่ะค่ะ จะให้เสด็จพ่อของพระองค์รู้เรื่องนี้ไม่ได้เลยเชียว” นาริสเขย่ามือเจ้าชายน้อยเบา ๆ

“เขาจะรู้ได้ยังไงล่ะในเมื่อไม่เคยสนใจอะไรเราเลย”เจ้าชายน้อยทรงยิ้มแต่นัยน์เนตรเศร้านัก

ทันใดนั้น นางกำนัลนางหนึ่งก็วิ่งเข้ามาพลางโค้งขออภัยนาริสอย่างรวดเร็ว กล่าวระล่ำระลักปนหอบ

“พระ...พระโอรส ทอดพระเนตรสิเพคะว่าผู้ใดมา?”

แทบจะทันที องค์ราชินีแห่งซาโลมก็ทรงสาวพระบาทผ่านหน้านางกำนัลไปราวกับโผบิน แขนทั้งสองอ้าออก พระพักตร์ของพระนางแต้มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความปิติยินดีและน้ำตาแห่งความคิดถึง

“เสด็จแม่!” เจ้าชายน้อยทรงตะโกนสุดเสียง ก่อนจะโผเข้าหาอ้อมกอดของพระมารดา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน

cron