Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ เม.ย. 19, 2024 6:37 am

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter15 น้ำจากพระทัย @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter15 น้ำจากพระทัย @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 19, 2009 11:15 pm

Chapter15 น้ำจากพระทัย



รุ่งสางของวันใหม่ ขณะที่ทุกชีวิตกำลังหลับใหลอย่างเป็นสุข ฝูงมังกรไฟนับร้อยต่างโผทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ายามเช้าอย่างรวดเร็ว ราชินีแห่งซาโลมทรงนำฝูงมังกรบินวนสูงเหนือป่าทมิฬและพื้นที่บริเวณใกล้เคียงโดยรอบถึงสามครั้งเพื่อให้ทรงแน่พระทัยว่าลูกตาแก้วที่ติดอยู่บริเวณอกของซาลามันเดอร่าจะสามารถเก็บรายละเอียดต่าง ๆ ของป่าบริเวณนี้ได้ครบถ้วน พระนางทรงก้มลงมองดูภาพเบื้องล่าง ทะเลเมฆสีเขียวทึบเมื่อคืนนี้เพียงแค่สัมผัสกับแสงแรกของดวงอาทิตย์ก็กลับดูสดใสเขียวชอุ่มและชุ่มชื่นยิ่งนัก ลำแสงจากดวงอาทิตย์สาดกระทบกับหยาดน้ำค้างอันเกิดจากความเย็นที่โรยตัวลงเกาะตามใบไม้ใบหญ้าทำให้เกิดแสงสะท้อนระยิบระยับไปทั่วทั้งป่าจนดูราวกับว่าต้นไม้ทั้งป่ากำลังส่องประกาย หลังคาบ้านเรือนน้อยใหญ่กระจุกตัวอยู่ด้วยกันเป็นหย่อม ๆ บางแห่งก็อยู่รวมกันมากถึงสองร้อยหลังคาเรือน อันแสดงถึงความหนาแน่นของหมู่บ้านเผ่าต่าง ๆ ทั้งขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ที่กระจายอยู่ทั่วบริเวณป่าฝั่งตะวันตกนับร้อยหมู่บ้าน

ทว่าความงดงามของผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์เบื้องล่างนั้นมิได้สร้างอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ ให้แก่ราชินีแห่งซาโลมเลย เว้นเสียแต่ความริษยาที่พุ่งพล่านอยู่ในจิตใจของพระนาง พระนางทรงกัดริมพระโอษฐ์แน่นพลางทอดพระเนตรไปทั่วผืนป่า ความคิดที่ว่า มันจะเป็นการดีสักเพียงไร หากความอุดมสมบูรณ์นี้จะเป็นของอิสฮานลูกชายสุดที่รัก ผนวกกับความถวิลหาลูกชายที่พระนางรู้อยู่เต็มอกว่าอีกเพียงไม่กี่อึดใจพระนางก็จะได้กลับไปซาโลมไปหาลูกชายของพระนาง ความริษยาที่มีความรักเป็นพื้นฐานนั้นได้เริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจของพระนางอย่างรุนแรงและรวดเร็ว เสียงของมันร่ำร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนพระนางเองแทบทนเก็บอารมณ์ไว้ไม่ได้

ราชินีเนอริมอร์นำฝูงมังกรไฟบินกลับมาเหนือป่าทมิฬอีกครั้งพร้อมกับให้สัญญาณผู้ควบคุมสัตว์แห่งซาโลม ผู้ควบคุมสัตว์เมื่อได้รับสัญญาณก็จัดแจงสั่งมังกรไฟให้กระจายกำลังไปตามจุดต่าง ๆ ทั่วบริเวณผืนป่าทิศตะวันตก เหล่ามังกรไฟนับร้อยต่างฮึกเหิมและคึกคะนองเต็มที่ ลมหายใจร้อนระอุคุกรุ่นถูกพ่นออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนเป็นสัญญาณแสดงความพร้อมของเปลวเพลิงที่อัดแน่นอยู่ในตัวของพวกมัน

ราชินีเนอริมอร์ทรงชูแขนทั้งสองข้างขึ้นสูงจนสุดแขนโดยในมือขวายังคงถือคทาไว้แน่น พระพักตร์ของพระนางเปลี่ยนเป็นพระพักตร์ที่ดุดันและน่ารักมเกรียมยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ดวงเนตรคมโตเบิกกว้างดูวาวโรจน์ เกิดไอร้อนระอุรอบตัวของพระนางและค่อย ๆ แผ่ซ่านไปทั่วทุกทิศทุกทาง ทับทิมสีแดงสดที่หัวคทาเปล่งประกายเจิดจ้า ลูกไฟขนาดย่อม ๆ เหนือฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองที่ชูขึ้น ขยายใหญ่อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ขนาดของลูกไฟยักษ์ใหญ่มากกว่ามังกรซาลามันเดอร่าถึงสองเท่า ซึ่งแม้พระนางจะออกศึกมาแล้วหลายครั้งหลายคราแต่การสร้างลูกไฟขนาดมหึมาเช่นนี้ก็แทบจะไม่เคยมีปรากฏมาก่อน ทำให้แม้แต่ผู้ควบคุมสัตว์และเหล่ามังกรยังต้องตื่นตะลึง แสงสว่างจากลูกไฟใหญ่นั้นโชติช่วงสว่างเจิดจ้าราวกับว่ามีดวงอาทิตย์อีกดวงที่กำลังลอยต่ำเหนือพื้นโลกเพียงไม่กี่เมตร

ราชินีเนอริมอร์ทรงหัวเราะอย่างน่ารักมเกรียมพร้อมประกาศเสียงกร้าว “ฮ่า ฮ่า ฮ่า จงลืมตาตื่นซะเจ้าพวกชาวป่าทั้งหลาย เปิดตาดูมหาเพลิงที่ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์หน้าไหนของเจ้ามาก่อน ยุคใหม่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”

สิ้นเสียง ราชินีเนอริมอร์ก็ทรงขว้างมหาเพลิงใส่ใจกลางของป่าทมิฬทันที ฉับพลันก็เกิดแรงระเบิดมหาศาลหมู่บ้านขนาดใหญ่ห้าหมู่บ้านแปรเปลี่ยนเป็นทะเลเพลิงในบัดดล ความรุนแรงของเพลิงเวทย์เผาผลาญป่าโดยรอบและขยายเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ฝูงมังกรไฟนับร้อยก็พุ่งตัวลงสู่ป่าเบื้องล่างและพ่นไฟร้อนจัดเผาหมู่บ้านและป่าไม้ตามจุดต่าง ๆ โดยรอบทันทีชนิดที่มิให้ใครตั้งตัวได้ทัน เสียงมังกรไฟร้องขู่คำรามประสานกับเสียงหวีดร้องของชาวป่าเบื้องล่างจนฟังไม่ได้ศัพท์ ผู้คนนับร้อยนับพันต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอดกันจ้าละหวั่น บางคนที่มัวแต่ห่วงสมบัติก็แบกข้าวของหนีพะรุงพะรัง แต่ก็หนีไปได้ไม่ไกลเพราะหนักสมบัติจนตกอยู่ในวงล้อมของเปลวเพลิง บางคนที่ขวัญอ่อนมั่วแต่ตกตะลึงทำอะไรไม่ถูกก็ถูกไฟครอกทั้งเป็น บางคนมีลูกเล็ก ๆ ก็ต้องหอบลูกจูงหลานหนีอย่างทุลักทุเล


****************************



ณ ผืนป่าเบื้องล่าง ไฟป่าที่ลุกโหมอย่างรุนแรงสร้างหมอกควันสีเทาหนาทึบไปทั่วบริเวณทำให้การเคลื่อนย้ายผู้คนลำบากขึ้นเรื่อย ๆ เสียงแตกปะทุของต้นไม้ดังเป็นระยะ ๆ ดามิก้าผู้ควบคุมสัตว์สาวชาวป่าทมิฬร่วมกับผู้นำคนอื่น ๆ กำลังสาละวนอยู่กับการสั่งสัตว์ป่าทั้งหลายให้ช่วยผู้คนอพยพออกจากพื้นที่อันตราย ไฟป่าที่ลุกท่วมกำลังลุกไหม้โอบล้อมหมู่บ้านของเธอเข้าไปทุกที เส้นทางที่สามารถออกจากหมู่บ้านถูกไฟป่าถาโถมทำลายจนเหลือทางเข้าออกเพียงทางเดียว ทันใดนั้นเองต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งก็ล้มครืนลงพาดขวางเส้นทางการอพยพ ทำให้ดามิก้าและชาวบ้านอีกนับร้อยตกอยู่ในวงล้อมเพลิงทันที

ดามิก้าจัดแจงควงดาบขนาดใหญ่ฟันที่กลางลำต้นของต้นไม้อย่างแรง บรรดาชาวบ้านที่เป็นผู้ชายก็รีบมาช่วยกันเป็นพัลวัน ทว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะจัดการกับลำต้นของต้นไม้ขนาดเจ็ดคนโอบในเวลาที่เหลือน้อยเช่นนี้ ที่ปลายทั้งสองด้านของต้นไม้ค่อย ๆ ถูกเผาไหม้ทีละน้อย เสียงแตกปะทุของเนื้อไม้เริ่มดังเป็นระยะ ๆ ดามิก้าและชาวบ้านต่างเร่งมือแข่งกับเศษเสี้ยวของเวลาอย่างขะมักเขม้น ทันใดนั้นก็เกิดเสียงไม้แตกดังสนั่นจากลำต้นอีกด้าน ดามิก้ารีบสั่งให้ชาวบ้านถอยห่างจากต้นไม้ทันที เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่คมขวานลงอักขระขนาดมหึมาจะจามลงผ่ากลางตลอดลำต้นของต้นไม้นั้นเปิดเป็นช่องเล็ก ๆ ขนาดคนเดินได้ ที่ฝั่งตรงข้ามของต้นไม้นั้นปรากฏร่างของชายหนุ่มร่างใหญ่กำยำที่แขนขวาสักลวดลายสีแดงเข้มยืนถือขวานยักษ์คู่กายอยู่
“ท่านดามิก้า ท่านผู้นำให้ข้าย้อนกลับมาดูกลุ่มของท่าน เพราะเหลือกลุ่มของท่านกลุ่มเดียวที่ยังไม่ได้ออกจากหมู่บ้าน” ชายเจ้าของขวานยักษ์กล่าวอย่างร้อนรน

“ขอบใจมากโทนิม่า (Tonima, the Black Wood Tamer) ต้นไม้ต้นนี้มันล้มลงมาขวางเส้นทางพอดี ทำให้เสียเวลาไปมาก” ดามิก้ากล่าวอย่างเร่งรีบ

“เราไม่มีเวลาเปิดทางให้กว้างกว่านี้แล้ว รีบลำเลียงผู้คนเถิด” โทนิม่ากล่าวหลังจากประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็ว

“ทุกคนทิ้งสัมภาระให้หมดแล้วรีบออกไปทางช่องนี้ เร็วเข้า! เราไม่มีเวลาแล้ว” ดามิก้าออกคำสั่งทันที

ชาวบ้านทุกคนต่างทิ้งสัมภาระของตนแล้วรีบวิ่งออกจากพื้นที่นั้นอย่างรวดเร็ว เมื่อชาวบ้านคนสุดท้ายหลุดออกมาจากช่องไม้นั้นได้ ผืนป่าเบื้องหลังก็กลายเป็นทะเลเพลิงไปแล้ว ชาวป่าเผ่าต่าง ๆ ต่างก็อพยพหนีไฟป่าอย่างไม่คิดชีวิตโดยมุ่งหน้าสู่ฟูดินัน

****************************
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter15 น้ำจากพระทัย @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 19, 2009 11:17 pm

แรงระเบิดที่เกิดขึ้นจากการทำลายล้างของราชินีเนอริมอร์นั้นสะเทือนไปไกลถึงฟูดินัน ชาวบ้านต่างอกสั่นขวัญแขวนด้วยไม่รู้ว่าเหตุอาเพศนี้คืออะไร บรรดาชาวบ้านต่างออกมายืนชุมนุมกันที่ลานกว้างใจกลางเผ่า ต่างซักถามพูดคุยและวิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา บ้างก็ว่าธรณีพิโรธ บ้างก็ว่าเทพพิทักษ์คีรีบันดาอาละวาด จนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่ไปทั่วบริเวณ ร้อนถึงครอบครัวบันดาราต้องออกมายุติความตื่นตระหนก

วูจินเดินออกมาที่ระเบียงหน้าบ้านซึ่งเป็นพื้นไม้ยกสูงจากพื้นราว ๆ หนึ่งคืบ โดยมีวานาอันคอยจับแขนประคองอยู่ไม่ห่าง การกระทำเช่นนี้เป็นภาพที่ชินตาของชาวฟูดินัน แม้ว่าท่านผู้เฒ่าจะยังคงแข็งแรงและเดินเหินได้สะดวก แต่ทุกครั้งตั้งแต่วานาอันยังเป็นเด็กน้อยเธอก็จะคอยปฏิบัติเช่นนี้อยู่เสมอเรื่อยมา ซึ่งท่านผู้เฒ่าเองก็ดูจะพึงพอใจที่หลานสาวแสดงความรักความกตัญญูต่อตนเช่นนี้อยู่ไม่น้อย เพราะวูจินก็ไม่เคยห้ามปรามหรือแสดงความรำคาญให้เห็น ฝ่ายฮารีซันซึ่งเดินตามออกมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ วูจินนั้นมีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกันกับวูจิน

“ใจเย็น ๆ ไว้ก่อนนะพี่น้องทั้งหลาย ข้าสอบถามไปทางหอสังเกตการณ์แล้ว อีกประเดี๋ยวก็คงจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อ๊ะ! นั่นยังไงล่ะ มาโน่นแล้ว” ฮารีซัน กล่าวขึ้น

ชายหนุ่มผู้เฝ้าหอทางทิศตะวันตกรีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในมือยังคงกำกล้องส่องทางไกลไว้แน่น พลางกล่าวทักทายวูจินและฮารีซัน ก่อนจะรีบรายงานเหตุการณ์ที่เกิด

“มีฝูงนกเป็นหมื่น ๆ ตัวจากฟากตะวันตกกำลังบินมุ่งหน้ามาทางนี้”

“ฝูงนกอพยพรึ?” ชาวบ้านคนหนึ่งถาม

“ถ้าถึงขนาดเป็นหมื่นตัว ข้าว่ามันอพยพมาทั้งป่าแล้วกระมัง” ชาวบ้านอีกคนพูดขึ้น

“นี่มันไม่ใช่ฤดูอพยพเสียหน่อย” ชาวบ้านที่ยืนอยู่ด้านหน้ากล่าวโต้ก่อนที่เสียงถกเถียงกันไปมาจะดังขึ้นอีกครั้ง วูจิน ต้องใช้ไม้เท้าเคาะกับพื้นหลายครั้งเสียงจึงเงียบลง

“แล้วเจ้าสังเกตเห็นอะไรอย่างอื่นอีกรึไม่?” วูจินถามเสียงเครียด

“ครับ!! ที่บริเวณป่าทมิฬเกิดกลุ่มควันหนาทึบพวยพุ่งสูงทีเดียวครับ”

ทันทีที่สิ้นเสียงก็พลันบังเกิดความเงียบขึ้นทั่วทั้งที่ชุมนุม ก่อนจะเกิดการทุ่มเถียงโหวกเหวกจนฟังไม่เป็นภาษา

“ไฟป่ารึ?” ชาวป่าวัยกลางคนพูดขึ้น “เป็นไปไม่ได้ อากาศชุ่มชื้นถึงเพียงนี้แล้วจะเกิดไฟป่าได้อย่างไร?”

“หรือจะเกิดสงครามระหว่างเผ่าขึ้นอีก?” อีกคนหนึ่งผู้ขึ้นอย่างตื่นตระหนก

“ ฟ้าพิโรธ ต้องเกิดเหตุอาเพศเพราะมีคนไปล่วงเกินเทพเจ้าแน่ ๆ ” หญิงชราร้องขึ้นอย่างหวาดกลัว

บรรดาชาวบ้านต่างวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์กันจนสับสนอลหม่าน วูจินต้องกระแทกไม้เท้าอีกหลายครั้งกว่าบรรดาชาวบ้านจะสงบลง แล้วฮารีซันจึงหันไปกล่าวกับผู้เฝ้าหอคอย

“ท่านรีบกลับไปที่หอคอย สังเกตความเคลื่อนไหวทุกอย่าง แล้วรีบส่งคนกลับมารายงานโดยด่วนที่สุด”

“ครับ” ชาวหนุ่มรับคำแล้วรีบกลับไปประจำการที่หอคอยทันที

“วานาอัน เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า สีหน้าน้องดูไม่ดีเลย” ฮารีซันเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่สังเกตเห็นความผิดปกติของน้องสาว

วูจินซึ่งก็สังเกตเห็นด้วยเช่นกันจึงเอ่ยขึ้น “วานาอัน ฟังสิ เจ้าได้ยินอะไร?”

วานาอันมีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก เธอก้าวลงจากระเบียงไปยืนบนพื้นดิน ย่อตัวลงก่อนจะวางมือเรียวงามทั้งคู่แนบลงกับผืนดิน เธอสูดหายใจลึกค่อย ๆ หลับตาช้า ๆ ปล่อยจิตให้สัมผัสกับจิตแห่งธรรมชาติ คิ้วน้อย ๆ ขมวดเข้าหากัน

“มีฝีเท้าจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว ฝีเท้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนก ผืนดินร้อนระอุและครวญครางด้วยความเจ็บปวด” วานาอันกล่าวก่อนจะค่อย ๆ ยืนขึ้น แขนทั้งสองข้างกางออก เธอหงายฝ่ามือขึ้นดวงตาคู่งามยังคงปิดสนิท สายลมจากทิศตะวันตกโชยพัดจนผมสีน้ำตาลเข้มของเธอพริ้วไหว “สายลมหวีดร้องอย่างโหยหวนและตื่นกลัว ความน่ากลัวยิ่งกว่าภัยธรรมชาติครั้งไหน ๆ กำลังจะมา เปลวเพลิงที่รุนแรงยิ่งกว่าไฟป่าอัดแน่นไปด้วยจิตสังหารและการเข่นฆ่า”

ชาวบ้านต่างมองหน้ากันเพราะยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าเด็กสาวกำลังพูดถึงอะไร ทันใดนั้นฝูงนกนับหมื่นก็บินมาถึงฟูดินันและบินผ่านลานกว้างที่ชาวบ้านกำลังชุมนุมกันอยู่ เสียงนกร้องดังสนั่นลั่นเซ็งแซ่จนต่างก็ต้องเอามือปิดหู ลมที่เกิดจากการกระพือปีกของนกนับหมื่นตัวพัดกระหน่ำลงสู่พื้นเบื้องล่าง วานาอันเงยหน้าขึ้นพยายามสัมผัสถึงบรรยากาศที่บรรดานกเหล่านี้ได้หอบมา เมื่อนกทั้งหมดบินผ่านไปแล้ว วานาอันก็ถึงกับหน้าซีดเข่าอ่อนหัวใจของเธอเต้นแรงเร็วสั่นรัว ฮารีซันต้องรีบเข้าไปพยุงให้ลุกขึ้นและพาขึ้นระเบียงบ้าน วานาอันรีบคว้าแขนพี่ชายไว้

“พี่คะรีบอพยพชาวบ้านเถอะค่ะ ท่านปู่เราต้องรีบอพยพชาวบ้านเดี๋ยวนี้นะคะ” วานาอันรีบกล่าวละล่ำละลัก ฮารีซันนั้นก็วิตกกังวลกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่มิใช่น้อยเพราะวานาอันไม่เคยมีท่าทีเช่นนี้มาก่อน วูจินจับมือหลานสาวตบเบา ๆ เป็นเชิงปลอบก่อนที่จะซักถามเหตุการณ์กับหลานสาวเสียงเบา วูจินพยักหน้าเป็นครั้งคราว สีหน้าเริ่มดูเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ฮารีซันนั้นก็ขมวดคิ้วแน่นนิ่งเงียบ บรรดาชาวบ้านต่างก็ร้อนใจอยู่ไม่เป็นสุขและรอคอยการตัดสินใจจากหัวหน้าเผ่าอย่างใจจดใจจ่อ วูจินพูดกับฮารีซันอีกสองสามคำ ฮารีซันซึ่งเวลานี้มีสีหน้าหนักใจไม่ต่างจากวูจินและวานาอัน เขาเดินออกมายืนต่อหน้าชาวบ้านที่ชุมนุมกันอยู่กล่าวว่า

“พี่น้องทุกท่าน ข้าอยากให้ทุกท่านกลับไปบ้านและเก็บเฉพาะข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นแล้วรีบกลับมารวมตัวกันที่นี่ให้เร็วที่สุด”

“อะไรกัน? มันจะเกิดอะไรขึ้นรึ? ทำไมพวกเราจะต้องเก็บของ?” หญิงชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้น

“ข้าไม่อยากไป ข้าจะอยู่ที่นี่” ชายแก่อีกคนพูดขึ้น

“ตอนนี้สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่นัก จะเป็นการดีกว่าถ้าพวกเราจะอพยพไปในที่ ๆ ปลอดภัย หากสถานการณ์ไม่เลวร้ายอย่างที่คิดเราก็ค่อย…”

“ก๊าซซซซซซซ!!!!”

ฮารีซันพูดยังไม่ทันจบก็เกิดแผ่นดินไหวและเสียงร้องคำรามดังสั่นจากทางเทือกเขาฝั่งตะวันตก

“เสียงอะไรนะ” เด็กสาวรุ่นคนหนึ่งร้องอย่างตกใจ

“เทพพิทักษ์พิโรธแล้ว!!” ชายแก่ที่ยืนอยู่ด้านหน้าทรุดลงไปนั่งกับพื้นตัวสั่นงันงก

“เทพพิทักษ์มีอยู่จริง ๆ ด้วย เราต้องตายแน่ ๆ ” เด็กสาวรุ่นอีกคนหนึ่งผวาไปกอดเพื่อนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

บรรดาชาวบ้านเริ่มระส่ำระสายและตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

“ทุกท่านอย่าเพิ่งตื่นตระหนก ทำตามที่ข้าบอก กลับไปที่บ้านแล้วเตรียมสัมภาระให้พร้อมแล้วมารวมตัวกันที่นี่ให้เร็วที่สุด” ฮารีซันกล่าวกำชับอีกครั้ง “เอาเฉพาะของที่จำเป็นเท่านั้น”

บรรดาชาวบ้านต่างก็ทยอยแยกย้ายกลับไปตระเตรียมของที่บ้านของตนอย่างสับสนและงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนเมื่อลานบ้านไม่เหลือใครแล้ววูจินจึงหันกับมากล่าวกับหลานของตน

“พวกเราก็ไปเตรียมตัวกันเถอะ” ฮารีซันและวานาอันก็รีบปฏิบัติทันที

****************************
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter15 น้ำจากพระทัย @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 19, 2009 11:18 pm

ไม่นานนักฮารีซันก็สะพายห่อผ้าขนาดใหญ่ออกมายืนรอชาวบ้านอยู่ตรงบริเวณหน้าลานกว้างพร้อมกับวูจินและวานาอัน เด็กสาวสะพายย่ามใบโตที่บรรจุสมุนไพรไว้จนเต็ม เมื่อทุกคนมาชุมนุมที่ลานกว้างโดยพร้อมเพรียงกันแล้ว ฮารีซันจึงคิดจะแบ่งชาวบ้านออกเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อที่จะได้ดูแลช่วยเหลือกันได้สะดวกขึ้น แต่ทว่ายังมิทันได้ทำอะไรจู่ ๆ สัตว์ป่าสีขาวขนาดใหญ่ก็กระโจนข้ามพุ่มไม้จากทางทิศตะวันตกเข้ามาขวางระหว่างชาวบ้านและครอบครัวบันดารา ทำเอาบรรดาชาวบ้านต่างหวีดร้องด้วยความตกใจ เสียงหอบหายใจของมันดังฟืดฟาดน่ากลัว น้ำลายไหลย้อยด้วยความเหนื่อยและกระหายน้ำ บนตัวของมันมีหญิงสาวที่เนื้อตัวมอมแมมนั่งหมอบอยู่ซึ่งก็หอบหายใจด้วยความเหนื่อยไม่แพ้กับเจ้าสัตว์ป่านั้น เธอค่อย ๆ ยันตัวขึ้นมาจึงได้รู้ว่าเธอคือดามิก้าจากป่าทมิฬนั่นเอง

ชาวบ้านสองคนรีบตักน้ำมาให้เธอและสัตว์ป่าสีขาวนั้น เธอรับไปดื่มอย่างรวดเร็วก่อนจะพูดปนหอบว่า

“รีบ...รีบอพยพให้เร็วที่สุด พวกมันกำลังใกล้เข้ามาแล้ว”

“ใครกำลังไล่หลังมา? เกิดอะไรขึ้น?” ฮารีซันถามเสียงเครียด

“ฝูงมังกรไฟ พวกมันมาเป็นร้อย ๆ ตัวไล่เผาป่าด้านทิศตะวันตกจนวอดวายไปหมดแล้ว”

เสียงชาวบ้านอุทานด้วยความกลัวดังไปทั่วลานกว้างทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น วานาอันเกาะแขนท่านปู่แน่นสีหน้าตื่นตระหนก

“พวกมันมาจากไหนกัน แล้วชาวบ้านเผ่าต่าง ๆ ล่ะ” ฮารีซันถามต่อ

“ข้าก็ไม่รู้ เพราะโดยปกติแล้วมังกรไฟมีถิ่นที่อยู่อาศัยอยู่อีกฟากหนึ่งของเทือกเขาไม่เคยข้ามมาในแถบนี้เลย แต่มีชาวบ้านจากเขตป่าลึกที่รอดจากการโจมตีเล่าว่าเห็นผู้หญิงในชุดสีแดงเพลิงขี่มังกรสีแดงสี่ปีกเป็นผู้นำพวกมันมา มังกรแต่ละตัวสวมเกราะสีแดงเข้มเหมือนมังกรที่ใช้ออกศึก มีสัญลักษณ์รูปนกไฟสีเหลืองอยู่ที่เกราะด้วย”

“กองทัพเพลิงแห่งซาโลม” วูจินพูดเสียงเบาจนแทบจะเป็นกระซิบ วานาอันเหลือบมองตาท่านปู่พร้อมกับจับแขนไว้แน่น เธอรู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจของเธอหายจากตัวไปเสียเฉย ๆ ฮารีซันหันมามองวูจินแวบหนึ่ง เสียงเล่าลือถึงกิตติศัพท์อันโหดน่ารักมของกองทัพเพลิงทมิฬที่บรรดาพ่อค้าเร่และเหล่านักดนตรีพเนจรต่างก็กล่าวขวัญถึงความหฤโหดด้วยความอกสั่นขวัญแขวนดังก้องอยู่ในหัวของเขา วันนี้พวกเขากำลังจะได้ลิ้มรสความโหดน่ารักมนั้นแล้ว

ดามิก้ายังคงเล่าเหตุการณ์ต่ออย่างรวดเร็ว “หมู่บ้านหลายหมู่บ้านถูกเผาทั้ง ๆ ที่ยังมีบรรดาชาวบ้านติดอยู่ข้างใน ตั้งแต่เช้ามืดพวกมันโจมตีพร้อม ๆ กันจากทุกทิศทุกทางไม่มีหยุด ไม่มีใครตั้งตัวกันได้ทัน ส่วนผู้ที่รอดชีวิตต่างก็หนีกันอลหม่านและกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ พวกขบวนหลัง ๆ ที่หนีไม่ทันก็ถูกไล่ต้อนเผาทั้งเป็นอย่างโหดน่ารักม ข้ารีบล่วงหน้ามาบอกพวกท่านให้เตรียมตัวอพยพก่อน อีกไม่นานขบวนชาวบ้านเผ่าต่าง ๆ คงจะมาถึงที่นี่แล้ว หากไม่รีบอพยพตอนนี้ก็พาลจะทำให้ท้ายขบวนหนีไม่ทัน”

ฮารีซันพยักหน้าก่อนจะรีบสั่งชาวบ้านให้ตั้งขบวน เสียงแตรเขาสัตว์จากเผ่าเซนทอร์ดังแว่วขึ้นจากป่าด้านตะวันตก ทำเอาบรรดาชาวบ้านเริ่มมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

“ไฟมาเร็วเหลือเกิน นี่คงใกล้จะลามถึงเผ่าเซนทอร์แล้ว รีบไปเถอะ ข้าจะล่วงหน้าไปเตือนหมู่บ้านข้างหน้าก่อน” ดามิก้ากล่าวจบก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว

“เร็วเข้า เรามีเวลาเหลือน้อยแล้ว” ฮารีซันสั่งอพยพทันที

บรรดาชาวบ้านบางคนก็รีบวิ่งอย่างหวาดผวา บางคนก็เริ่มร้องไห้ด้วยความอาลัยบ้านของตน ฮารีซันเดินนำหน้าขบวนโดยมีวานาอันคอยพยุงวูจินอยู่ข้าง ๆ เสียงแตรเขาสัตว์จากเผ่าเซนทอร์ดังแว่วเป็นระยะ ๆ วูจินสังเกตเห็นหลานสาวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจึงใช้มือตบที่หลังหลังมือที่เย็นเฉียบของวานาอันเบา ๆ กล่าวว่า

“ทำใจดี ๆ ไว้ ปู่กำลังนึกหาวิธีแก้อยู่ เข้มแข็งเข้าไว้”

วานาอันรู้สึกว่ามือและเท้าของเธอเย็นเฉียบไม่ต่างกับน้ำแข็ง เสียงกลองและเสียงแตรจากเผ่าต่าง ๆ เริ่มดังขึ้นเป็นระยะ ๆ เสียงสัตว์ป่าที่กู่ร้องเรียกฝูงของพวกมัน ทุกเสียงล้วนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว ทุกครั้งที่เธอหลับตา ภาพของผู้คน ภาพบรรดาสัตว์น้อยใหญ่และต้นไม้ใบหญ้าที่กรีดร้องอย่างทรมานและหวาดกลัวบีบคั้นหัวใจดวงน้อยของเธอ ความรู้สึกเวทนาสงสารเอ่อล้นขึ้นจนน้ำตาไหลลงอาบพวงแก้มของเธอ

ฉับพลันนั้นเองเสียงร้องที่แหลมจนแสบแก้วหูก็ดังขึ้นเหนือกลุ่มชาวบ้านก่อนที่สัตว์ขนาดใหญ่สีแดงสดสองตัวจะโฉบต่ำอย่างรวดเร็วผ่านเหนือศีรษะของพวกเขาเพียงไม่กี่นิ้ว บรรดาชาวบ้านหวีดร้องด้วยความตกใจต่างก้มลงหมอบต่ำกันอย่างชุลมุน เสียงหัวเราะแข็งกร้าวดังลั่นอยู่เหนือพวกเขา ทุกคนต่างมองไปที่ทิศทางต้นเสียงทันที ก็พลันเห็นหญิงสาวในชุดสีแดงเพลิงขี่มังกรสี่ปีกในมือถือคทาที่บัดนี้เปล่งประกายสีแดงวาวโรจน์จ้องมองพวกเขาพลางหัวเราะอย่างน่ารักมเกรียม

“วิ่งสิเจ้าพวกโง่ วิ่ง!!” สิ้นเสียงราชินีเนอริมอร์ ก็ยิงลูกไฟเวทย์จากคทาใส่กลุ่มชาวบ้านทันทีทำเอาขบวนชาวบ้านแตกกระจายวิ่งหนีเอาชีวิตรอดกันอย่างชุลมุน เสียงหวีดร้องด้วยความกลัวดังสลับกับเสียงเรียกหาสมาชิกในครอบครัวของแต่ละคนจนสับสนอลหม่านไปหมด แล้วเสียงร้องจากมังกรไฟตัวหนึ่งก็ดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่มันจะโฉบลงพ่นไฟใส่บ้านหลังที่อยู่ใกล้กับครอบครัวบันดารา ฮารีซันจึงรีบพาปู่และน้องหลบไปอีกทางหนึ่ง บรรดาชาวบ้านต่างวิ่งกระจัดกระจายไปคนละทิศละทางราวกับมดแตกรัง คนที่หนีไม่ทันก็ถูกไฟครอกดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมาน

ราชินีเนอริมอร์ยังทรงยิงไฟเวทย์ใส่ชาวบ้านไม่หยุด เหล่ามังกรไฟที่บินมาสมทบก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จากสองเป็นสี่ จากสี่เป็นแปด พวกมันแยกกันโจมตีไล่เผาบ้านเรือนหลังแล้วหลังเล่า ชาวบ้านต่างวิ่งหนีกันอย่างไม่คิดชีวิต บ้างก็ชนกันจนหกล้มหกลุก ที่เสียหลักล้มก็ถูกเหยียบซ้ำจนไปไหนไม่ได้

ขณะที่ฮารีซันรีบพาปู่และน้องพร้อมชาวบ้านวิ่งหนีการทำลายล้างของราชินีเนอริมอร์และฝูงมังกรไฟอยู่นั้น วานาอันเกิดสะดุดขากับชาวบ้านคนหนึ่งจนล้มลง วูจินใจหายวาบเมื่อรู้ว่าหลานสาวหลุดจากขบวนไป

“วานาอัน!!” วูจินตะโกนเรียกพยายามยื่นมือไปหาหลานสาวแต่ทว่าบรรดาชาวบ้านที่วิ่งตามมาผลักเขาให้ออกห่างจากหลานสาวไปเรื่อย ๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter15 น้ำจากพระทัย @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 19, 2009 11:19 pm

“ฮารีซัน!” วูจินตะโกนเรียกหลานชายที่บัดนี้ก็ถูกคลื่นคนผลักออกไปไกลเช่นกัน บรรดาชาวป่าต่างเผ่าเริ่มหนาตาขึ้นทั้งเซนทอร์ เผ่าสมิง และเผ่าข้างเคียงเริ่มปะปนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ขบวนดูแออัดยิ่งขึ้น ฮารีซันพยายามฝ่าคลื่นคนที่วิ่งเบียดเสียดยัดเยียดกันจนสามารถเข้ามาประคองวูจินที่เกือบจะถูกชนจนล้มลงได้ทัน

“วานาอันล่ะครับท่านปู่” ฮารีซันหน้าซีดเผือดเมื่อไม่เห็นน้องสาว

“ช่วยน้องด้วยเร็วเข้า น้องเจ้าพลัดกับปู่ที่โคนต้นไม้นั่น” วูจินรีบชี้มือไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก ฮารีซันพยายามมองหาน้องสาวแต่ทว่าบรรดาชาวบ้านที่วิ่งสวนมาทำให้เขามองหาวานาอันได้ลำบากยิ่งขึ้น

“วานาอัน!! วานาอัน!!” ฮารีซันตะโกนเรียกพลางพยายามฝ่าคนเข้าไปใกล้ต้นไม้นั้น เสียงร้องแหลมของมังกรไฟดังเหนือหัวเขาไม่กี่นิ้วก่อนที่มันจะพ่นไฟใส่บ้านหลังที่อยู่ใกล้ ๆ ฮารีซันรีบเร่งฝีเท้ายิ่งขึ้นโดยมีวูจินเดินตามหลังไปติด ๆ ที่ใต้ต้นไม้นั้นเขาพบแต่ความว่างเปล่า วานาอันพลัดหลงไปกับฝูงชนเสียแล้ว


***************************************


“ท่านปู่คะ!! พี่คะ!!” วานาอันตะโกนเรียกแข่งกับเสียงกรีดร้องของชาวบ้าน เธอพยายามชะเง้อมองหาบุคคลทั้งสองแต่ตัวของเธอเล็กเกินกว่าจะมองเห็นได้ถนัดนัก ผู้คนล้วนเบียดเสียดกันเธอถูกชนไปทางซ้ายทีขวาทีจนสับสนทิศทางไปหมด

“แม่จ๋า แม่อยู่ไหน?” เสียงเด็กน้อยคนหนึ่งร้องเรียกแม่อยู่ไม่ไกลจากเธอนัก เด็กน้อยถูกชนจนล้มคะมำลง วานาอันรีบวิ่งเข้าไปช่วยเด็กน้อยทันที เธอพยุงเด็กน้อยให้ลุกขึ้น เด็กน้อยหันมามองเธอด้วยความดีใจเพราะคิดว่าเป็นแม่ของตน เมื่อเห็นว่าไม่ใช่ก็เริ่มเบ้ปากร้องไห้

“ลูกแม่” เสียงหญิงคนหนึ่งตะโกนเรียกเด็กน้อยจากอีกฟากของฝูงคน เด็กน้อยผละจากวานาอันรีบวิ่งไปหาแม่ทันที ทันใดนั้นมังกรไฟตัวหนึ่งบินโฉบต่ำไล่หลังเธอมา วานาอันรีบวิ่งไปคว้าตัวเด็กน้อยไว้แล้วหมอบตัวลง แทบจะทันทีมังกรก็พ่นเปลวไฟร้อนผ่าวข้ามหัวเธอไปถูกกลุ่มชาวบ้านที่อยู่ห่างจากเธอไม่กี่ก้าว เสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความทรมานจากกลุ่มชาวบ้านเคราะห์ร้ายบาดลึกเข้าไปในจิตใจของเธอ เนื้อตัวของเธอเย็นเฉียบและสั่นเทาเธอกอดเด็กน้อยไว้แน่น

“แม่!! แม่จ๋า” เสียงร้องของเด็กน้อยทำให้เธอรู้สึกตัว เด็กน้อยพยายามตะเกียดตะกายยื่นมือเข้าไปหากองไฟที่อยู่ตรงหน้า “ไม่!!!!” วานาอันสะอื้นไห้กอดเด็กน้อยไว้แน่นพยายามปิดตาของเด็กน้อยไม่ให้เห็นภาพที่โหดน่ารักมที่เกิดกับแม่ของเขา เด็กน้อยกรีดร้องเสียงดังก่อนที่จะหมดสติไป วานาอันร้องไห้กอดเด็กน้อยไว้แน่นทรุดลงนั่งกับพื้น น้ำตาพรั่งพรูออกจากดวงตาทั้งสองข้าง เธอมองไปรอบ ๆ เห็นซากศพที่ถูกเผาจนดำเป็นตอตะโกมากมายทุกศพล้วนแต่อยู่ในสภาพที่น่าเวทนานัก บางศพถูกเผาทั้ง ๆ ที่มีทารกน้อยกอดอยู่แนบอก บางคนก็ถูกเหยียบจนตาย ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ไฟและความหายนะทั่วไปหมด

“แม่หนูมัวแต่ทำอะไรอยู่ ไม่รีบหนีล่ะ เดี๋ยวก็ถูกเผาตายอยู่ที่นี่หรอก” หญิงวัยกลางคนที่ผ่านมาถามเธอและพยายามดึงเธอให้ลุกขึ้น วานาอันมองหญิงต่างเผ่าผ่านม่านน้ำตา

“น้าจ๋า หนูฝากเด็กคนนี้ได้ไหมคะ แม่ของเธอถูกเผาทั้งเป็น” วานาอันชี้มือไปที่กองไฟข้างหน้า หญิงวัยกลางคนมองกองไฟด้วยความตระหนก

“เอ่อ...ได้สิ” หญิงวัยกลางคนลังเลเล็กน้อย แต่ก็รับเด็กน้อยมาอุ้มไว้ในที่สุด “มาเถอะ ไฟไหม้ใหญ่แล้วเดี๋ยวจะหนีไม่ทัน” หญิงวัยกลางคนกล่าวพลางเริ่มกึ่งเดินกึ่งวิ่ง วานาอันยืนมองเด็กน้อยแล้วหันไปมองรอบ ๆ ตัว “แม่หนูเร็วเข้า” หญิงวัยกลางคนตะโกนเรียก วานาอันหันหน้าไปสบตาหญิงวัยกลางคนอีกครั้งก่อนที่จะกลับหลังหันแล้วออกวิ่ง

“แม่หนู! แม่หนู!” หญิงวัยกลางคนจะก้าวตามแต่เมื่อเห็นเปลวไฟที่กำลังลุกโหมก็เปลี่ยนใจและวิ่งหนีไปพร้อมกับชาวบ้านคนอื่น ๆ

วานาอันวิ่งไปร้องไห้ไป เธอคิดแต่เพียงว่าเธอจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดเหตุร้ายนี้ แต่เธอจะต้องทำอะไรเล่าแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้ เด็กสาววิ่งสวนกับขบวนชาวป่าเผ่าต่าง ๆ บางครั้งก็ถูกชนจนล้มลุกคลุกคลาน แต่เมื่อเธอลุกขึ้นมาได้ก็ออกวิ่งอีก บางคนเมื่อเห็นว่าเธอกำลังวิ่งสวนไปก็พยายามดึงเธอไว้เพราะคิดว่าเธอตกใจจนสติเลอะเลือนวิ่งเข้าไปหาเปลวไฟ แต่วานาอันก็พยายามสะบัดมือจนเป็นอิสระและออกวิ่งต่อไป ยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าไรไฟก็ยิ่งโหมรุนแรงมากขึ้นใบหน้าของเธอร้อนผ่าวจนแดงก่ำ ดวงตาของเธอแสบจนแทบจะลืมไม่ขึ้นเพราะควันไฟ เธอเริ่มสำลักควันไฟและหายใจลำบากขึ้นทุกที ตลอดทางที่เธอวิ่งผ่านมาเธอต้องสะดุดซากศพของทั้งผู้คนและบรรดาสัตว์ป่าน้อยใหญ่หลายครั้งจนเนื้อตัวสกปรกมอมแมมไปหมด

“สายลม สายลมผู้เป็นพี่น้องของเรา ปราณแห่งเหล่าทวยเทพ โปรดพัดนำทาง.... นำทางเรา ไปยังที่หมาย.....”

เสียงของเธอเบาพริ้วเหมือนสายลม ทันใดนั้นก็มีลมพัดผ่านด้านหลังของเด็กสาวไล่เปลวควันแหวกออกเป็นทาง วานาอันออกวิ่ง สายตาของเธอ และจิตใจของเธอ เริ่มเข้าสู่ภวังค์ เธอมองไกลออกไป

“คีรีบันดา โปรดปกป้องเรา เหล่าพฤกษา โปรดเสริมความกล้าในใจของเรา.........”

ทั้ง ๆ ที่ยังวิ่งอยู่ บรรดาต้นไม้ใหญ่น้อยต่างก็ลู่ตามลมแยกออกเป็นทางทั้งซ้ายขวาแม้จะมีเปลวไฟเผาไหม้อยู่ตามกิ่ง จนดูราวกับว่าพวกมันแหวกทางให้กับเธอ

“ผืนแผ่นดินผู้เป็นมารดาของลูก..................ลูกจะทำอย่างไรดี.. โปรดเป็นกำลังเพื่อเท้าของลูกจะวิ่งได้ไหว”

ทันใดเด็กสาวรู้สึกตัวเบาหวิว เธอวิ่งไปเหมือนติดปีกบิน เธอไม่รู้สึกว่าเท้าของเธอขยับแต่เธอกำลังวิ่งมุ่งไปข้างหน้า อย่างรวดเร็วราวกับว่าเท้าเธอคือปีกและผืนดินคือเมฆอันอ่อนนุ่ม สายลมพัดจากด้านหลังของเธอเหมือนจะผลักเธอให้ไปถึงยังที่หมาย วานาอันตอนนี้ไม่รู้ทิศรู้ทางเพราะรอบข้างมีแต่ไฟแดงฉาน เธอวิ่งตามที่พลังอำนาจแห่งธรรมชาติของเธอนำทาง และตามสายลมที่พัดพาเธอไป

เธอวิ่ง วิ่ง และวิ่ง น้ำตายังไหลอาบแก้ม แต่ในใจของเธอกลับสัมผัสถึงสิ่งยิ่งใหญ่ ในอกร้อนผ่าวประหนึ่งว่ามีมืออันใหญ่วางลงบนหัวใจของเธอ และลูบปลอบใจ ในหูของเธอได้ยินเสียง เป็นเหมือนเสียงของน้ำ เป็นเสียงน้ำไหลที่ฟังดูเหมือนเสียงร้องไห้คร่ำครวญ ร่างกายเธอสัมผัสสายลม แต่เป็นสัมผัสแบบที่เธอไม่เคยรู้สึกรับรู้ได้รุนแรงเท่านี้ มันราวกับสายลมพัดเข้าไปในตัวเธอหมุนวนและพัดทะลุผ่านร่างของเธอ เธอมองเห็นเปลวไฟคลุ้มคลั่งคำรามหากแต่เกรงกลัวเธอ ไม่ใช่ ไม่ได้เกรงกลัวเธอ มันเกรงกลัวบางสิ่งที่กำลังผสานเข้ากับเธอ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter15 น้ำจากพระทัย @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 19, 2009 11:20 pm

เด็กสาวเริ่มรู้สึกว่าเธอรับรู้บางอย่างแจ่มชัดในใจ จิตใจของแผ่นดินซึ่งขณะนี้เหมือนมารดาที่พยายามจะปกป้องลูกน้อยของตน ทั้งอบอุ่นแต่ทว่าปวดร้าว เธอรู้สึกถึงความกังวลของสายน้ำ แม้ทะเลสาบนีรันดาจะอยู่ห่างไกลแต่เธอสัมผัสได้ไม่ต่างกับอยู่กลางทะเลสาบ เธอรับรู้ว่าสายลมกำลังเป็นห่วงเธอเหมือนพี่ชายที่จับมือน้องสาวแน่นไม่ให้หลงทาง

ที่สุดเท้าของเธอก็หยุดวิ่ง วานาอันรู้สึกตัวเหมือนตื่นจากฝัน ภาพเบื้องหน้าคือมหาพฤกษาใบสีเงินที่ตอนนี้สะท้อนแสงจากเปลวไฟเป็นสีแดงระยับ มหาพฤกษาอิกดราซิลสูงจรดฟ้าตระหง่านท่ามกลางเปลวเพลิง น่าแปลกนักที่ต้นไม้โดยรอบถูกเผาจนไหม้เกรียม บางต้นก็กำลังถูกไฟไหม้จนเปลวไฟลุกท่วม แต่ต้นอิกดราซิลกลับแทบจะไม่มีร่องรอยถูกไหม้เลยแม้แต่น้อย วานาอันทรุดตัวคุกเข่าลงเบื้องหน้ามหาเทพพฤกษาน้ำตาไหลอาบแก้ม มือน้อย ๆ เวลานี้มีแผลถลอกจนเลือดไหลทั้งสองข้างทั้งยังเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเขม่าและฝุ่นดิน เธอยกมันขึ้นสัมผัสกับต้นอิกดราซิลและเริ่มสะอื้นไห้

“ข้าแต่เทพพฤกษา ขอโปรดช่วยพวกเราด้วยเถิด” วานาอันอ้อนวอนทั้งน้ำตา ภาพความทุกข์ระทม ความเศร้าโศก และความหายนะปรากฏขึ้นในใจของเธออีกครั้งอย่างแจ่มชัด ต้นอิกดราซิลโบกไหวอย่างช้า ๆ ประหนึ่งว่ากำลังทุกข์ระทมร่วมกับเด็กสาว น้ำตาหยาดแล้วหยาดเล่าตกลงสู่ผืนดินและรากที่โผล่พ้นดินของมหาพฤกษา “หมดสิ้นแล้ว พินาศไปหมดสิ้น........” เธอร้องไห้อย่างขมขื่น “ได้โปรดเถิด มันช่างโหดร้ายเหลือเกิน ไม่ว่าจะบรรดาชาวบ้าน พวกสัตว์ป่าล้มตาย แม้แต่เด็กทารก ก็ยังต้องตายอย่างทารุณ” ใบสีเงินเลื่อมสีแดงระยับขยับสั่นสะท้านราวกับสะอื้น “เหล่าทวยเทพทั้งหลายผู้เป็นบิดาและมารดาของเรา ได้โปรดปกป้องลูก ๆ ของพระองค์ด้วยเถิด” วานาอันซบหน้าลงกับรากแขนงหนึ่งของต้นอิกดราซิลสะอื้นไห้จนตัวโยน ปากก็พร่ำวอนขอความเมตตาจากเหล่าเทพมิได้หยุด

ทันใดนั้นใบสีเงินเลื่อมระยับก็ขยับพริ้วรุนแรงไม่ต่างกับคลื่นในมหาสมุทรจนใบไม้ทั้งหลายกระทบกันเป็นเสียงดังเหมือนเสียงระฆังเงินเล็ก ๆ นับร้อยนับพันใบสั่นระรัว อากาศโดยรอบเย็นตัวลงแทบจะทันที ละอองน้ำเล็ก ๆ ค่อย ๆ โรยตัวจากใบสีเงินแต่ละใบลงสู่พื้นดิน วานาอันรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลันนี้ เด็กสาวเงยหน้าขึ้นช้า ๆ และมองไปรอบ ๆ อย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง ละอองน้ำจากใบสีเงินนับหมื่นนับแสนใบตกชโลมพื้นดินและทั่วบริเวณรอบต้นอิกดราซิลจนฉ่ำชื้น และเมื่อละอองน้ำสัมผัสกับความร้อนโดยรอบก็ระเหยกลายเป็นไอน้ำลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน เสียงขยับใบดังกังวานครั้งแล้วครั้งเล่า ละอองน้ำใสเย็นนับหมื่นนับแสนที่โรยตัวลงมาแต่ละครั้งสัมผัสถูกใบหน้าหวานของเด็กสาว เรือนผมมันเงาของเธอระยิบระยับไปด้วยละอองน้ำเม็ดเล็ก ๆ มากมาย

เพียงเวลาไม่กี่นาทีท้องฟ้าทั่วทั้งบริเวณก็มืดครึ้มลง ไอน้ำที่ลอยตัวสูงขึ้นรวมตัวกันจนเกิดเป็นเมฆฝนดำทะมึนขนาดมหึมาและเริ่มโปรยปรายสายฝนเย็นฉ่ำไปทั่วทั้งป่า ต้นไม้ใบหญ้าต่างโบกกิ่งพริ้วรับสายฝนเย็นฉ่ำราวกับเริงระบำ ไม่ต่างกับดวงใจของวานาอันที่เต้นรัวด้วยความโลดเต้นยินดี เสียงหยดน้ำฝนที่เดือดจนกลายเป็นไอเพราะตกลงสู่เปลวไฟดังไปทั่วบริเวณ

อีกครั้งที่ในหูของเด็กสาวได้ยินเสียงเรียกจากระลอกคลื่นกระซิบหาอย่างอ่อนโยน วานาอันมองไปรอบ ๆ พยายามมองหาที่มาของเสียงนั้น เธอลุกขึ้นช้า ๆ ขาของเธอเริ่มก้าวเดินอีกครั้ง ในใจของเธอรู้สึกอบอุ่นและสงบนิ่ง เด็กสาวเดินลัดเลาะไปตามแขนงรากอันใหญ่โตของเทพพฤกษา ไม่นานนักเธอก็พบกับธารน้ำขนาดใหญ่ที่ไหลมาจากแง่งรากแขนงหนึ่งของต้นอิกดราซิลนั่นเอง วานาอันคุกเข่าลงช้า ๆ ด้วยความอัศจรรย์ใจเมื่อเห็นที่ใจกลางทางน้ำนั้นมีแสงเรืองรองเป็นวงเจิดจ้าอยู่ใต้พื้นน้ำ เกิดระลอกคลื่นสะท้อนเป็นประกายระยิบระยับไม่ต่างกับทะเลดาวในยามค่ำคืน ที่กลางน้ำนั้นเกิดหยดน้ำเรืองแสงนับร้อยนับพันลอยขึ้นมาจากน้ำแล้วหมุนวนเป็นวงรอบๆบริเวณนั้น ระลอกคลื่นที่เกิดจากใจกลางแห่งแสงนั้นกระจายตัวเป็นวงกว้างจนแรงกระเพื่อมกระทบฝั่งแรงขึ้นเรื่อย ๆ ฉับพลัน ณ ใจกลางของวงคลื่นนั้นก็เกิดน้ำพุพุ่งขึ้นสูงบิดเป็นเกลียวเหนือผืนน้ำก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นของหญิงสาวนางหนึ่ง ผิวกายของเธอเป็นสีฟ้าใสรับกับเรือนผมสีฟ้าเข้มยาวสยาย วงหน้างดงามได้รูปกับใบหูที่เหมือนครีบปลาสีฟ้าเหลือบเงินขนาดใหญ่ทั้งสองข้าง ดวงตาคมสีฟ้าเข้มราวกับสีของน้ำทะเลจ้องมองเธออย่างเอ็นดู
“ท...เท...เทพีอันดีน(Undine)” วานาอันได้แต่ตกตะลึงพูดได้เพียงแค่นั้น ไม่เคยมีใครเคยได้เข้าเฝ้าหรือได้เห็นเทพีอันดีนเลยสักครั้ง แต่บัดนี้เทพีมาปรากฏตัวต่อหน้าเธอ เด็กสาวทั้งประหม่าทั้งปลาบปลื้มจนตัวเธอเองก็สับสนในความรู้สึกของตน เทพีเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจในความประหม่าของเด็กสาวจึงยิ้มให้กับเธออย่างเอ็นดู แล้วจึงหันหน้าไปทางป่าทมิฬพลางยกแขนซ้ายขึ้นช้าๆแล้วเริ่มต้นวาดมือเหมือนกับร่ายเวทย์ ทันใดนั้นน้ำปริมาณมากมายมหาศาลก็เอ่อล้นฝั่งแล้วพุ่งขึ้นสูงถึงยอดไม้ก่อนจะม้วนตัวเป็นเกลียวคลืนไหลบ่าสู่ป่าฝั่งตะวันตกราวกับน้ำป่าหลาก เสียงไฟที่กำลังโหมไหม้ป่าถูกน้ำซัดสาดเสียงดังฟู่ฟ่อเหมือนเสียงงูพิษที่ขู่คำรามเพื่อเอาชีวิตรอดในเฮือกนาทีสุดท้าย แต่น้ำปริมาณมหาศาลที่ไหลบ่าล้นตลิ่งอย่างไม่มีวันหมดนั้นมากมายจนดูเหมือนว่าน้ำทั้งทวีปเมอรีเซียกำลังถูกสูบมาดับมหาเพลิงในครั้งนี้

เทพีอันดีนมองผลงานของตนพลางยิ้มอย่างพอใจ เธอยกแขนขึ้นอีกครั้งหยดน้ำเรืองแสงก็หมุนวนรอบตัวของเทพีอันดีน แล้วเธอก็หมุนตัวกลายเป็นน้ำตกลงสู่ธารน้ำนั้นทันที ปล่อยเด็กสาวที่กำลังอัศจรรย์ใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้ไว้เพียงลำพัง

“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณ” เมื่อตั้งสติได้วานาอันก็รีบกล่าวขอบคุณเหล่าทวยเทพอย่างตื้นตันใจ ก้มลงกราบจนหน้าผากจรดพื้นดิน น้ำตาแห่งความปลื้มปิติไหลอาบสองพวงแก้ม เด็กสาวลุกขึ้นยืนปล่อยจิตให้สัมผัสกับธรรมชาติอีกครั้งก่อนที่จะเริ่มขับร้องบทเพลงสรรเสริญเหล่าทวยเทพด้วยน้ำเสียงใสเย็น จิตใจที่หมองหม่นบัดนี้กลับเบิกบาน ดวงใจน้อย ๆของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมยินดี

******************************
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter15 น้ำจากพระทัย @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 19, 2009 11:21 pm

ณ กระโจมที่ซึ่งเหล่าแม่ทัพนายกองแห่งอาณาจักรซาโลมกำลังชุมนุมกันอยู่ บรรยากาศภายในนั้นชวนให้อึดอัดและตึงเครียดยิ่งนัก ไม่มีใครกล้าปริปากถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแม้เพียงสักคนเดียว

หน้าบัลลังก์ที่ประทับ ราชินีแห่งซาโลมทรงยืนขบกรามแน่น พระหัตถ์ของนางกำคทาคู่ใจไว้แน่นจนนิ้วทั้งห้านั้นซีดขาว ความรู้สึกต่าง ๆ ประดังเข้ามาหาพระนางจนร่างทั้งร่างสั่นเทิ้ม ทั้งอับอายขายหน้าสามีและข้าราชบริพาร ทั้งโกรธแค้นชาวฟูดินัน ทั้งใจหายที่จะไม่ได้กลับไปพบหน้าลูกชายได้ดั่งใจหมาย ภาพเปลวเพลิงที่ค่อย ๆ มอดดับยังความอัปยศเหลือที่จะกล่าว เสียงไชโยโห่ร้องด้วยความดีใจของบรรดาชาวป่าที่ก้องสะท้อนไปทั่วทั้งป่าเป็นดั่งคำสบประมาทและท้าทายพระนาง

“เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้เราคงต้องเปลี่ยนแผนการรบเสียใหม่” อุปราชเฒ่าเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบในที่สุด

ราชินีเนริมอร์ทรงหันควับไปจ้องเบลซเซจด้วยสายตาเกรี้ยวกราดทันที สิ่งที่จะปกปิดความอัปยศอดสูของพระนางได้ดีที่สุดก็ไม่พ้นความเกรี้ยวกราดของพระนางนั่นเองและมันก็ใช้ได้ผลดีมากเสียด้วย เพราะบรรดาแม่ทัพนายกองต่างก็ไม่มีใครกล้าสบตากับพระนางแม้เพียงสักคนเดียว ข้างกษัตริย์ซาดินเองก็ทรงอึดอัดพระทัยอยู่มิใช่น้อย เมื่อเห็นได้ชัดว่าพระนางพร้อมจะระเบิดอารมณ์ใส่ใครก็ตามที่พลาดท่าจุดชนวนในครั้งนี้

“เอาเถิดเนริมอร์ เหตุการณ์ครั้งนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นความผิดพลาดของเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะเทพเจ้าของพวกมันช่วยเหลือแล้ว มีรึที่พวกมันจะอาจหาญต่อกรกับเราได้” อารมณ์ของกษัตริย์ซาดินเองก็เริ่มที่จะคุกรุ่นขึ้นมาเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “บัดซบนัก! ข้าเองก็รบทัพจับศึกมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่มีครั้งนี้แหละที่จะต้องมาสู้กับเทพเจ้า ไอ้ต้นไม้บ้านั่น...ข้ารึสู้อุตส่าห์คิดสารพัดวิธีกว่าที่จะผ่านไอ้มังกรสองหัวงี่เง่านั่นได้ ยังต้องมาเจอกับไอ้ต้นไม้บ้านี่อีก นี่มันอะไรกันนักหนานะ”

ทุกคนในที่ประชุมต่างเงียบกริบเมื่อได้ฟังกษัตริย์ของตนตรัสเช่นนี้ ความรู้สึกของแต่ละคนก็แตกต่างประสมปนเปกันไป ทั้งโกรธแค้นตามผู้นำของตน บ้างก็กลัวโทสะที่จู่ ๆ ก็พุ่งขึ้นมาอย่างไม่มีสัญญาณเตือนของกษัตริย์ซาดิน บ้างก็รู้สึกสิ้นหวังในการรบที่แทบจะไม่เห็นหนทางชนะในครั้งนี้

“ฝ่าบาท นี่อาจจะเป็นชะตาที่ฟ้ากำหนดให้พวกฟูดินันได้ครองดินแดนที่อุดมสมบูรณ์นี้ พวกมันถึงได้มีเทพเจ้ามากมายคอยช่วยเหลือ...” เบลซเซจทูลยังไม่ทันจบก็ต้องสะดุดสุดตัวเมื่อกษัตริย์ซาดินทรงโกรธจนใช้แขนฟาดโต๊ะที่อยู่ข้างกายจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ดวงเนตรถมึงทึงจนแทบจะหลุดออกจากเบ้า

“ชะตาฟ้าบ้าบออะไรกัน!! ข้านี่แหละจะเป็นผู้เปลี่ยนชะตาเอง หุบปากของเจ้าซะแล้วใช้สมองคิดแผนการรบใหม่เสียที” กษัตริย์หนุ่มทรงหันไปทางมเหสีของพระองค์แล้วตรัสว่า “เจ้าก็อย่าหัวเสียให้มากนักเลย มาช่วยกันคิดแผนบุกพวกมันใหม่จะดีกว่า”

ริ้วแห่งความกระดากและตระหนกปรากฎบนสีพระพักตร์ของราชินีแห่งซาโลมเล็กน้อยก่อนที่พระนางจะทรงก้าวขึ้นที่ประทับที่ถูกจัดเตรียมไว้ ราชินีเนริมอร์เองก็รับอารมณ์โกรธที่พุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วของสามีไม่ทันจนพระนางลืมความโกรธของพระองค์เองไปเสียสนิท เวลานี้อารมณ์ที่สับสนปนเปผนวกกับความเหนื่อยล้าทำให้พระนางอยากจะกลับที่พักและซ่อนตัวอยู่ในกระโจม มากกว่าจะมานั่งที่ประชุมเพื่อตกเป็นเป้าสายตาของเหล่าข้าราชบริพารอยู่เช่นนี้

“เนริมอร์!”

ราชินีเนริมอร์ทรงหันไปทางต้นเสียงด้วยความตกพระทัย กษัตริย์ซาดินนั่นเองที่เป็นคนเรียกพระนาง พระองค์ทอดพระเนตรพระนางด้วยสีพระพักตร์ประหลาดพระทัยและรวมไปถึงคนอื่น ๆ ด้วย นี่พระนางนั่งใจลอยไปนานเท่าไรกัน

“เจ้าพร้อมที่จะฟังรึยัง?” กษัตริย์ซาดินตรัสถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอพระทัยนัก ราชินีเนริมอร์ทรงรีบพยักพระพักตร์รับ อุปราชเฒ่าจึงเริ่มต้นกล่าวสรุปแผนการทั้งหมด

“เป็นอันว่าเราจะบุกฟีเลเซียโดยเริ่มโจมตีตามตะเข็บชายแดนที่ติดกับเทือกเขาคีรีบันดา” เบลซเซจใช้ไม้ปลายแหลมชี้ไปตามหัวเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ตามแนวชายแดนของฟีเลเซีย “เราจะตียาวไปจนสุดชายฝั่งเพื่อตัดขาดการติดต่อระหว่างฟูดินันและฟีเลเซีย แล้วเริ่มตีโอบฟีเลเซียเป็นหน้ากระดานพร้อมกัน นี่จะทำให้พวกฟีเลเซียรวมทัพใหญ่ได้ลำบากมากขึ้นเพราะต้องแบ่งกำลังส่วนหนึ่งไว้ป้องกันหัวเมืองของตนเอง การโจมตีในครั้งนี้ต้องรุกให้เร็วที่สุดเพื่อไม่ให้พวกฟีเลเซียจัดทัพได้ทัน ดังนั้นเราจะต้องยึดแต่ละหัวเมืองให้ได้โดยไม่ควรใช้เวลาเกินเมืองละสามวัน”

เกิดเสียงถกเถียงขึ้นในหมู่แม่ทัพนายกองทันทีที่สิ้นคำของเบลซเซจ

“มันจะไม่ไหวเอานะท่านอุปราช ถ้าทำเช่นนั้นทหารก็แทบจะไม่ได้หยุดพักเลย แล้วจะรบกันไหวได้อย่างไร” แม่ทัพคนหนึ่งท้วงขึ้น

“อย่าเพิ่งรีบตีโพยตีพายนักสิ หากพวกท่านทำตามที่ข้าบอก เหล่าทหารก็แทบจะไม่ต้องเหนื่อยเลย ซ้ำยังอาจยึดหัวเมืองต่าง ๆ ได้ง่ายและเร็วกว่าที่กำหนดเสียอีก” เบลซเซจกล่าวสำทับอย่างมั่นอกมั่นใจ

“เจ้ามีวิธีดี ๆ อย่างนั้นรึ” กษัตริย์ซาดินตรัสถามอย่างตื่นเต้น

เบลซเซจคำนับรับคำพลางแสยะยิ้มทูลว่า “หากฝ่าบาทโจมตีหัวเมืองแรกอย่างรวดเร็ว รุนแรง และ อำมหิตที่สุด เมืองต่าง ๆ ที่เหลือนอกจากจะเตรียมทัพไม่ทันแล้วยังแทบจะไม่มีจิตใจที่จะสู้อีกด้วย เพราะคำร่ำลือถึงความหฤโหดของการโจมตีในครั้งแรกนั้นจะกระจายไปทั่วทั้งอาณาจักรอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง ยิ่งร่ำลือกันมากเหตุการณ์ก็จะยิ่งถูกแต่งเติมให้เลวร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วทีนี้จะมีใครที่ไหนกันเล่าที่จะหาญกล้าสู้กับกองทัพปีศาจกระหายเลือดที่ชั่วร้ายและอำมหิตที่สุด”

กษัตริย์ซาดินทรงพยักพระพักตร์ช้า ๆ และยิ้มอย่างพออกพอพระทัยกับแผนการนี้ เบลซเซจกล่าวสำทับอีกว่า

“ที่เมืองหน้าด่านแห่งนี้เป็นเมืองชนบทที่ห่างไกลจากเมืองหลวงมากที่สุด ซ้ำยังมีประชากรไม่มากเท่าใดนัก อีกทั้งส่วนใหญ่ก็ประกอบอาชีพกสิกรรม พวกที่เป็นอัศวินส่วนใหญ่ก็จะเข้าประจำการในเมืองหลวงกันเสียมาก ดังนั้นการจะบุกเมืองนี้ก็ไม่น่าจะยากเย็นเท่าไหร่”

“ดี ! ถ้าเช่นนั้นเจ้าเห็นว่าใครเหมาะสมที่จะนำทัพบุกยึดเมืองแรกนี้” กษัตริย์ซาดินตรัสถามขึ้น

“ข้าเอง” ทุกคนในห้องต่างตกตะลึงหันไปมองเป็นตาเดียว เมื่อราชินีแห่งซาโลมทรงลุกขึ้นรับอาสาออกรบในครั้งนี้

“เจ้ารึ?” กษัตริย์ซาดินเองก็ทรงประหลาดพระทัยไม่แพ้คนอื่น ๆ เพราะราชินีเนริมอร์เป็นบุคคลเดียวในกองทัพที่ไม่มีกะจิดกะใจที่จะรบที่สุด แต่ก็พอที่จะรู้ว่าพระนางต้องการใช้เหตุการณ์นี้กู้หน้าของตน จึงไม่มีเหตุผลที่จะคัดค้านแต่อย่างใด “แล้วพวกเจ้าล่ะเห็นว่าอย่างใด?”

บรรดาแม่ทัพนายกองต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าฝีมือการทำลายล้างขององค์ราชินีนั้นยากนักที่จะหาใครต้านทานได้ ซ้ำการโจมตีของพระนางแต่ละครั้งยังแทบไม่มีการสูญเสียไพร่พลเลย เพราะพระนางโจมตีด้วยพลังเวทย์ และ ฝูงมังกรจากที่สูง

“ถ้าเช่นนั้นข้าพระองค์มีเวลา สอง ชั่วยามให้พระนางก่อนที่เหล่าทหารราบจะเข้ายึดเมือง” เบลซเซจเอ่ยขึ้น

“เหลือเฟือ!!” ตรัสเสียงสะบัดด้วยความรำคาญ

“ดี! พรุ่งนี้เช้าสั่งเคลื่อนทัพสู่ฟีเลเซียทันที” กษัตริย์ซาดินทรงประกาศก้อง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter15 น้ำจากพระทัย @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 19, 2009 11:21 pm

ในคืนหนึ่งที่เงียบสงัด ประชาชนชาวฟีเลเซียในเมืองหลวงต่างก็หลับใหลอย่างอบอุ่นในบ้านของตน ณ ที่พำนักของนักบวชชั้นสูงใกล้กับวิหารหลวง สู่ห้องชั้นบนสุดฝั่งทิศตะวันออกอันเป็นที่พักของประมุขศาสนจักรแห่งฟีเลเซีย ภายในห้องนั้นถูกตกแต่งด้วยเครื่องเรือนโทนสีอ่อนและขาว สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มีไม่มากนัก เว้นเสียแต่ของใช้ที่จำเป็นต่อกิจวัตรประจำวันเท่านั้น ที่ผนังด้านหนึ่งมีตู้หนังสือขนาดใหญ่สูงจนจรดเพดาน ทุก ๆ ชั้นล้วนเต็มไปด้วยหนังสือปรัชญาและศาสนา ใกล้กันนั้นมีโต๊ะหนังสือสีน้ำตาลเข้มที่ทำจากไม้เนื้อแข็งตั้งอยู่ บนโต๊ะนั้นมีหนังสือปกแข็งและม้วนกระดาษวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ ไม่ใกล้ไม่ไกลนักมีห้องเล็ก ๆ ที่ถูกกั้นแบ่งด้วยฉากไม้ฉลุสีครีม ภายในนั้นมีแท่นคุกเข่าสำหรับอธิษฐานภาวนา บนแท่นนั้นมีหนังสือคัมภีร์ที่ถูกอ่านค้างไว้วางอยู่ ลึกเข้าไปอีกฟากหนึ่งของห้องมีเตียงเดี่ยวสี่เสาที่ทำจากไม้เนื้อแข็งสีน้ำตาลเข้มปูด้วยผ้าเนื้อนุ่มสีขาวสะอาด บนเตียงนั้นบิชอปเกรเกอรี่กำลังนอนหลับแต่ทว่าไม่สนิท เหมือนกำลังหลับแต่ก็ตื่นในเวลาเดียวกัน เหตุการณ์ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด

แทบจะทันทีบิชอปหนุ่มก็สะดุ้งตื่นขึ้น เขามองไปรอบ ๆ อย่างงุนงง ภาพในฝันของเขาดูสมจริงจนเขาสับสน เมื่อตั้งสติได้เขาจึงทรุดกายลงคุกเขาอธิษฐานภาวนาข้างเตียง และ ทบทวนความฝันนั้นอีกครั้ง เมื่อขอความสว่างจากเบื้องบน ในจิตก็ได้ตระหนักแน่ว่านั่นคือนิมิตบอกเหตุนั่นเอง เขารีบลุกขึ้นและตรงไปยังโต๊ะหนังสือทันที เขารีบจุดตะเกียงและคว้าสมุดบันทึกเล่มหนึ่งจากชั้นหนังสือบนโต๊ะแล้วเริ่มบันทึกดังนี้

‘ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่นั้น ข้าพเจ้าได้เห็นนิมิตที่บอกถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

ข้าพเจ้านิมิตว่าข้าพเจ้ากำลังยืนอยู่บนระเบียงของวิหารหนึ่งในฟีเลเซียและกำลังมองดูความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรภายใต้ท้องฟ้าสีฟ้าใสกระจ่าง ทันใดนั้นก็เกิดเหตุอาเพศท้องฟ้าสะเทือนเลื่อนลั่นทำให้ท้องฟ้าตอนบนเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานราวกับโลหิต

ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังตระหนกกับเหตุการณ์ตรงหน้า จู่ ๆ บนท้องฟ้านั้นก็เกิดแสงสว่าง และปรากฏร่างของนางฟ้าผู้แสนสง่าและงดงาม ข้าพเจ้าจึงตระหนักได้ว่าท่านคือ นางฟ้าแห่งดาบผู้เป็นอารักขาเทวดาแห่งฟีเลเซีย ผู้มีนามว่า ฟรานเชสก้า (Francessca, the Angel of Swords) ท่านอยู่ในชุดเสื้อเกราะขลิบทอง ผมสีทองยาวสยาย ท่วงท่าของท่านสง่างามและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ ปีกสีขาวงดงามนั้นกางแผ่กว้าง ใบหน้าที่สวยงามของท่านหันไปทางเหนือ สายตาของท่านทอดยาวออกไปไกลจนดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด มีดาบขนาดมหึมาที่สลักเสลาด้วยลวดลายแสนวิจิตรอย่างที่ข้าพเจ้ามิเคยพบเห็นในที่ใดมาก่อน ด้ามจับของดาบนั้นทำด้วยโลหะชั้นดีขลิบทองพันเป็นเกลียวล้อมด้าม ลวดลายที่คอด้ามนั้นก็แปลกเพราะมีลักษณะคล้ายกริชอีกเล่มวางขวางระหว่างตัวดาบและด้ามจับ มีอัญมณีสีฟ้าใสเปล่งประกายแวววาวประดับทั่วทั้งตัวดาบและด้ามจับ ดาบนั้นลอยอยู่ใกล้ตัวของท่าน และยังมีดาบอีกเล่มหนึ่งขนาดเล็กว่าและงดงามน้อยกว่าเล่มแรกมากเหน็บไว้ข้างกาย ในนิมิตนั้นท่านมิได้กล่าวคำพูดใด ๆ เลย เป็นภาพที่งดงามและทรงอำนาจ แต่มีความน่าหวาดหวั่นในเวลาเดียวกัน และนี่คือนิมิตทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้เห็น’

เกรเกอรี่หยุดบันทึกแล้วเริ่มอ่านสิ่งที่เขียนอย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อตีความหมาย ความวิตกกังวลเริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจของเขาอย่างรวดเร็ว เขาจรดปากกาลงอีกครั้ง

‘หากการตีความหมายของข้าพเจ้าไม่ผิดพลาด ในอนาคตอันใกล้นี้จะเกิดสงครามครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟีเลเซียขึ้นอย่างแน่นอน สายตาที่ทอดยาวไปไกลของนางฟ้าแห่งดาบบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าสงครามครั้งนี้จะกินเวลายาวนานและยังไม่มีการไขแสดงจากสวรรค์ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้กำชัยชนะ

ข้าพเจ้าหวังเหลือเกินว่านิมิตในครั้งนี้จะเป็นเพียงความฝันธรรมดาที่ข้าพเจ้าวิตกมากเกินไปเอง’
ขอพระเจ้าทรงประทานพรแก่ฟีเลเซีย
บี. เกรเกอรี่


เกรเกอรี่วางปากกาลงก่อนจะเลื่อนตัวลุกขึ้นจากโต๊ะตรงไปยังห้องอธิษฐาน เขาย่อตัวลงช้า ๆ บนแท่นคุกเข่าและเริ่มอธิษฐานภาวนาอีกครั้ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน