Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน อังคาร เม.ย. 23, 2024 8:09 pm

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter14 ขุนเขาคำราม @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter14 ขุนเขาคำราม @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ จันทร์ ส.ค. 17, 2009 11:25 pm

Chapter14 ขุนเขาคำราม


ที่ลานกว้างหลังบ้านของครอบครัวบันดารา วูจินกำลังตรวจดูกระจาดขนาดใหญ่ที่เรียงรายเป็นตับจนพื้นที่หลังบ้านดูคับแคบไปถนัดตา ในกระจาดเหล่านั้นเต็มไปด้วยพืชสมุนไพรนานาชนิด ข้างตัวของวูจินมีเสาต้นเล็ก ๆ ที่แขวนตะกร้าขนาดย่อม ๆ เรียงไล่ขนาดกันอยู่เจ็ดชั้น แต่ละชั้นนั้นก็เต็มไปด้วยรากใบไม้ดอกนานาพันธุ์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นส่วนประกอบสำคัญในการปรุงยาสมุนไพรทั้งสิ้น ท่านผู้เฒ่าใช้มือซ้ายหยิบใบไม้ที่เริ่มแห้งใบหนึ่งขึ้นมาจากตะกร้าชั้นบนสุดมาพิจารณาดู พลางใช้นิ้วมือลูบไปตามผิวใบอย่างเบามือก่อนจะหงายดูคราบฝุ่นที่ติดอยู่บนนิ้ว คิ้วสีเทาขมวดเล็กน้อย

“ท่านปู่ครับ” ฮารีซันเอ่ยเรียกพลางเดินหลบกระจาดสมุนไพรขนาดใหญ่ที่วางขวางทางอยู่

วูจินหันไปถามหลานชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “มีอะไรรึ? ฮารีซัน”

“ข้าจะมาบอกท่านปู่เรื่องการเตรียมตัวตั้งรับเหตุฉุกเฉินของบรรดาเผ่าต่าง ๆ ครับ” ฮารีซันกล่าวไม่เต็มเสียงนัก

“ว่าอย่างไรล่ะ? เตรียมพร้อมไปถึงไหนกันแล้วรึ?” วูจินถามอย่างใคร่รู้

“หลังจากวันที่ท่านแองโกริออนปรากฎตัวนี่ก็ผ่านมาเกือบสามเดือนแล้ว พอทุก ๆ คนเห็นว่าเหตุการณ์ยังสงบดีจึงได้ล้มเลิกการเตรียมพร้อมกันกว่าครึ่ง ส่วนที่เหลือก็เตรียมซ้อมสำหรับเหตุฉุกเฉินกันแบบพอเป็นพิธีเท่านั้น” ฮารีซันพูดพลางมองไปรอบ ๆ เหมือนจะมองให้ทะลุแมกไม้ไปถึงเผ่าต่าง ๆ

“เฮ้อ...พวกเราก็เป็นเสียอย่างนี้ ช่างลืมกันได้ง่ายดายนัก ตื่นเต้นตกใจกันได้ไม่กี่วันก็ลืมไม่ใส่ใจ นี่ละคือข้อเสียของชาวฟูดินันเรา หากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นแล้วจะเตรียมตัวกันทันรึ” วูจินพูดอย่างเหนื่อยหน่าย

ฮารีซันนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่งด้วยสิ่งที่วูจินกล่าวนั้นเป็นเรื่องจริงที่น่าเหนื่อยใจนัก

“เอาเถอะ ตอนนี้ก็คงเหลือแต่ภาวนาว่าอย่าให้มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นก็แล้วกัน” วูจินเปรยขึ้น

ฮารีซันพยักหน้ารับพลางถามขึ้น “เมื่อสักครู่นี้ท่านปู่ทำอะไรอยู่เหรอครับ?”

“ปู่กำลังดูสมุนไพรพวกนี้ มันมีบางอย่างผิดปกติไป” วูจินกล่าวพลางหยิบใบไม้ใบหนึ่งส่งให้หลานชาย ฮารีซันรับมาพิจารณาดู เขาพลิกดูทั้งด้านหน้าและด้านหลังหากแต่ก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใด ๆ

“อย่ามองเพียงแค่ลักษณะรูปร่างของมัน” วูจินหยิบใบไม้จากมือของหลานชายขึ้นมาพลางใช้มือลูบเบา ๆ ที่ผิวของใบไม้แล้วจึงหงายมือให้ดู

“ฝุ่นดินหรือครับท่านปู่” ฮารีซันเงยหน้าขึ้นถาม

“ใช่ แต่ว่ามันไม่ใช่ฝุ่นดินของที่นี่” วูจินใช้นิ้วมือถูกเข้าด้วยกันเพื่อพิจารณาฝุ่นดินให้ถี่ถ้วนยิ่งขึ้น “มันมาจากที่นั่น” วูจินชี้มือไปทางเหนือยอดเขาคีรีบันดา

“ท่านปู่ มันจะเกี่ยวกับการที่เทพแองโกริออนปรากฎตัวรึเปล่าครับ?” ฮารีซันถาม

“ปู่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราในตอนนี้ก็คือเตรียมพร้อมและรอเท่านั้น”


***********************************


ขณะนี้อีกฟากของเทือกเขา มหากองทัพแห่งซาโลมกำลังเคลื่อนพลอย่างรวดเร็ว มุ่งสู่เทือกเขาคีรีบันดาที่ตั้งสูงตระหง่านเบื้องหน้าอันเป็นปราการธรรมชาติที่แข็งแกร่งยิ่งของฟูดินัน เสียงฝีเท้าเรือนแสนที่ย่ำผ่านผืนทรายดังสะเทือนเลื่อนลั่น ฝุ่นทรายตลบอบอวลจนดูเหมือนพายุทะเลทรายที่ได้หอบเอาเม็ดทรายนับล้าน ๆ พุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า หมู่ธงรูปวิหคเพลิงนับร้อยนับพันโบกสบัดรับกับไอแดดและผืนทรายที่ร้อนระอุ อีกทั้งเหล่าทหารในชุดสีแดงสดนับแสนที่กำลังเดินทัพมุ่งสู่ที่หมายอย่างฮึกเหิมทำให้ทั่วทั้งผืนทะเลทรายแห่งนี้ดูราวกับลุกเป็นไฟ

กษัตริย์ซาดินทรงยกพระหัตถ์ขึ้นป้องแดดเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรเทือกเขาขนาดมหึมาเบื้องหน้า บนยอดเขามีเมฆลอยเรี่ยอยู่ สีเขียวเข้มอันบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ปกคลุมเหนือยอดเขาเป็นแนวยาว หากแต่ต่ำลงมากลับเริ่มมีสีเขียวของพืชอ่อนลง สีน้ำตาลของดินเริ่มมีมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่สุดจึงเหลือแต่ดินทรายตั้งแต่ช่วงกลางของเทือกเขาจนสุดตีนเขา กษัตริย์หนุ่มทรงไล่สายพระเนตรไปยังขอบเทือกเขาทั้งสองด้านที่ทอดตัวยาวจนสุดลูกหูลูกตา

“ปราการธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบ” กษัตริย์ซาดินตรัสพลางทรงหรี่เนตรเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยพอพระทัยนัก ก่อนที่จะทรงยกพระหัตถ์ขึ้นเป็นสัญญาณตั้งค่าย

ทันใดนั้น เสียงแตรเขามาสติคอร์หางมรณะ(Dead Tail Masticore)ก็ดังกังวานเป็นสัญญาณให้ทหารหยุดพักและเตรียมตั้งค่าย เสียงแตรจากฝ่ายต่าง ๆ ก็ดังขานรับเป็นสัญญาณแทบจะทันที เบลซ เซจ และแบล็ค ไวเซอร์พร้อมนกปีศาจคู่ใจก้าวลงจากรถแล้วก็รีบไปสมทบกับกษัตริย์ซาดินและราชินีเนริมอร์อย่างรวดเร็ว

ที่นั่นเอง ราโชยูได้ไปถึงอยู่ก่อนแล้วและกำลังรับคำสั่งของกษัตริย์ซาดินอยู่ เมื่อเบลซ เซจและแบล็ค ไวเซอร์ไปถึง กษัตริย์ซาดินก็สั่งงานราโชยูเสร็จแล้ว แม่ทัพใหญ่ทำความเคารพอย่างรวดเร็วแล้วเดินจากไป ในขณะที่ซาดินเหลือบมาเห็นทั้งสองเดินเข้ามาพอดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter14 ขุนเขาคำราม @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ จันทร์ ส.ค. 17, 2009 11:26 pm

“พรุ่งนี้เช้ามืดข้าจะส่งกองสอดแนมขึ้นไปสำรวจบนเทือกเขานั่นก่อน พร้อมกับขึ้นไปเตรียมกรุยทางเพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสัตว์ใหญ่ อาวุธยุทโธปกรณ์ และเสบียง เมื่อแสงสว่างมากพอที่จะเริ่มมองเห็นทางได้ก็ให้ขึ้นสำรวจทันที ข้าไม่อยากเสียเวลากับการข้ามเทือกเขานี้นานนัก ข้าสั่งให้ราโชยูจัดกองสอดแนมเรียบร้อยแล้ว จากนั้นอีกวันหนึ่งทัพใหญ่จึงค่อยเคลื่อนตามขึ้นไป พวกท่านเห็นว่าอย่างไร?”

“ฝ่าบาททรงกระทำการรอบคอบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทคาดว่าเราจะใช้เวลาเคลื่อนพลถึงยอดเขาเท่าไหร่หรือพ่ะย่ะค่ะ” เบลซ เซจทูลถาม

กษัตริย์ซาดินทรงเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรยอดเขาอีกครั้งก่อนจะตรัสว่า “อย่างเร็วก็ 14 วันกว่าจะขึ้นถึงยอดเขา แต่นั่นหมายความว่าหนทางจะต้องสะดวกราบรื่น”

“ฝ่าบาท กระโจมของพระองค์และของพระนางตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ราโชยูเข้ามารายงาน “ของท่านทั้งสองก็เรียบร้อยแล้วเช่นกัน”

“ดี ถ้าเช่นนั้นคืนนี้เราค่อยมาหารือกันอีกครั้ง” กษัตริย์ซาดินทรงตัดบท ก่อนจะทรงหันไปหาแม่ทัพใหญ่ “สั่งทหารให้พักผ่อนให้เพียงพอ เราจะเคลื่อนทัพขึ้นเขาในวันมะรืนนี้”

เมื่อสิ้นคำกษัตริย์หนุ่มก็เสด็จจากไปทันที โดยมีพระนางเนริมอร์เดินตามออกไปด้วยอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนว่าพระนางทรงไม่อยากจะเสวนากับพ่อมดดำและอุปราชเฒ่าเลย


**********************************



รุ่งเช้าของวันใหม่กองสอดแนมของซาโลมราวสามกองพันก็มุ่งหน้าขึ้นสู่ยอดเขาทันที เหล่าทหารผู้มีใจหื่นกระหายในสงครามต่างเร่งฝีเท้าเพื่อจะพิชิตยอดเขาให้เร็วที่สุด พวกเขาแผ้วถางป่าเตรียมทางให้แก่ทัพใหญ่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สัตว์น้อยใหญ่ที่ผ่านมาหรือขวางทางต่างถูกกำจัดสิ้น บ้างก็ถูกจับมาเป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็น ค๊อกคาทริส(Cockatrice) , อีบองก้า(Ebonga), กวางคารา(Kara Antelope), เต่าเม่น(Spiky Chelonia) ,กริฟฟินหิน(Hard Rock Giffin) ,โคล่าสแควร์เรล หรือแม้กระทั่งหนูดินตัวเล็ก ๆ ก็มิอาจรอดพ้นเงื้อมมือของกองกำลังแห่งซาโลมไปได้เลย

**********************************



เช้าวันต่อมามหากองทัพแห่งซาโลมก็โห่ร้องลั่นกลองชัยเสียงดังอื้ออึ้งสะท้อนก้องกังวานไปทั่วขุนเขา และออกเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาคีรีบันดาอย่างรวดเร็ว มหากองทัพแทบจะเคลื่อนพลทั้งกลางวันกลางคืน หนทางสู่ยอดเขานั้นช่างสะดวกโยธินนัก ด้านฝ่ายกองสอดแนมนั้นก็ส่งข่าวรายงานเหตุการณ์และอุปสรรคเบื้องหน้าอย่างสม่ำเสมอจึงทำให้อุปสรรคต่าง ๆ ถูกเตรียมการแก้ไขได้ทันการณ์ มหากองทัพจึงเคลื่อนพลได้เร็วกว่ากำหนดยิ่งขึ้น หากแต่เมื่อเริ่มเข้าสู่วันที่ห้าแห่งการเคลื่อนทัพนั้นก็เริ่มมีปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้น ในช่วงสายของวันที่ห้านั้นเองได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นครั้งหนึ่ง และในวันที่หกก็เช่นกันที่ได้เกิดแผ่นดินไหวถึงสองครั้งในตอนบ่ายของวันนั้น อย่างไรก็ดีทุกคนก็มิได้ติดใจกับเรื่องนี้เท่าใดนัก เนื่องจากเห็นว่าคงจะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติของภูมิภาคนี้เอง ทว่ายิ่งเดินทางเข้าใกล้ยอดเขามากเท่าไหร่ แรงสั่นสะเทือนก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นและถี่ขึ้นตามลำดับ

**********************************


ในเช้าตรู่ของวันที่สิบ ทั้งกองทัพก็ต้องตื่นขึ้นด้วยความตระหนกตกใจเมื่อได้ยินเสียงร้องคำรามดังสะท้อนมาจากทางยอดเขาที่สลับซับซ้อนของคีรีบันดา แต่ทว่าข่าวที่กองสอดแนมส่งมาก็ยังมิพบสิ่งผิดปกติใด ๆ เลย มหากองทัพแห่งซาโลมจึงยังคงมุ่งหน้าต่อไป และในวันที่สิบเอ็ดนั้นก็ได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ยาวนานกว่าและรุนแรงกว่าครั้งไหน ๆ พร้อมกับเกิดเสียงร้องคำรามอย่างเกรี้ยวกราดของสัตว์ใหญ่ชนิดหนึ่ง ซึ่งดังกังวานและชัดเจนกว่าที่ผ่าน ๆ มาจนดูเหมือนว่าเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้อยู่ใกล้เพียงคืบ เสียงร้องคำรามดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าติดต่อกันราวเกือบครึ่งชั่วโมงจึงสงบลง เมื่อสิ้นเสียงคำรามสุดท้ายทุกคนต่างก็มองหน้ากันด้วยตระหนกและงงงวยด้วยว่ามิอาจอธิบายเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ

ราชินีเนริมอร์ทรงออกมาจากกระโจมของตนที่อยู่ทางปีกขวาของค่ายที่พักแล้วเดินไปสบทบกับซาดิน ราโชยู เบลซ เซจ และแบล็ค ไวเซอร์ที่ยืนสนทนากันอยู่ก่อนแล้ว

“นั่นมันเสียงอะไรกัน” ราชินีเนริมอร์ทรงตรัสถามอย่างตื่นตระหนก หากแต่ทุกคนต่างก็นิ่งเงียบมิอาจให้คำตอบแก่พระนางได้

“ราโชยู ส่งกองทหารขึ้นไปเรียกกองสอดแนมกลับมา ข้าต้องการรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นและต้องโดยเร็วที่สุดด้วย” กษัตริย์ซาดินกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

“พ่ะย่ะค่ะ” ราโชยูทำความเคารพก่อนจะรีบเร่งออกไปจัดทัพเล็ก

กองทหารชุดใหม่อันประกอบไปด้วยมือเพชฌฆาตแห่งซาโลมสองร้อยนายและกองนกโมฮาแปดร้อยนาย ถูกส่งขึ้นไปติดตามกองสอดแนมทันที แต่ทว่าแผ่นดินไหวและเสียงร้องคำรามอย่างรุนแรงก็ยังคงเกิดขึ้นในวันต่อมา พร้อมกับการเงียบหายของกองทัพทั้งสองกอง กษัตริย์ซาดินนั้นทรงร้อนพระทัยยิ่งนัก เนื่องว่าความอยากรู้ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคอยกระตุ้นความอยากในสงครามของพระองค์มากขึ้นทุกที ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นซาดินจึงสั่งให้ราโชยูจัดทัพเล็กขึ้นอีกหนึ่งกองทัพเพื่อขึ้นไปเร่งกองทัพที่ล่วงหน้าไปก่อนทั้งสองกองให้กลับมา

รุ่งสางของวันที่สิบห้า แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงและเสียงร้องคำรามก็ดังขึ้นอีกครั้ง แรงสั่นสะเทือนและเสียงคำรามที่ดังกึงก้องนั้นทำเอาทุกคนในกองทัพพากันสะดุ้งจนสุดตัว บ้างก็ชักอาวุธถือดาบออกมายืนจังก้าด้วยคิดว่าข้าศึกเข้าจู่โจม บ้างก็รีบคว้าชุดเกราะมาสวมกันเป็นพัลวัน จนกระทั้งแผ่นดินไหวสงบลงจึงได้กลับไปประจำการของตน ครั้นตกบ่ายราโชยูจึงรีบเข้าเฝ้าซาดินอย่างรีบร้อน ใบหน้าฉายแววกังวลชัดเจน เขาคุกเข่าอยู่หน้าฉากกั้นที่แบ่งส่วนห้องรับรองออกจากห้องบรรทม
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter14 ขุนเขาคำราม @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ จันทร์ ส.ค. 17, 2009 11:26 pm

“ฝ่าบาท กะหม่อมคิดว่าเหตุการณ์นี้ยิ่งทวีความไม่ชอบมาพากลขึ้นทุกทีแล้วพ่ะย่ะค่ะ กองทัพที่เราส่งไปทั้งสามกองนั้นไม่ส่งข่าวใด ๆ กลับมาอีกเลย กระหม่อมไม่อาจจะเสียเวลาและทหารไปอย่างเปล่าประโยชน์เช่นนี้ ขอฝ่าบาททรงมีบัญชาให้กระหม่อมนำทัพขึ้นไปดูด้วยตาตัวเองเถิดว่ามันเกิดอะไรข้างบนนั้นกันแน่” ราโชยูทูลอย่างร้อนใจ

“ไม่ต้อง ข้าจะไปเอง” กษัตริย์แห่งซาโลมในชุดเกราะเต็มยศเสด็จออกมาจากหลังฉาก “ข้าจะไม่ทนรออยู่ที่นี่อีกต่อไป ข้าเบื่อเต็มทีกับการรอคอย จัดทัพให้ข้าเดี๋ยวนี้” กษัตริย์ซาดินทรงออกคำสั่งด้วยเสียงหงุดหงิด

ราโชยูนิ่งอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะรีบปรามเสียงแข็ง “ฝ่าบาทมันอันตรายเกินไปที่พระองค์จะเสด็จไปเองพระองค์เดียวเช่นนี้ เรายังไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ข้างบนนั้น หากเกิดอะไรขึ้นจะแก้ไขลำบาก ทรงไตร่ตรองใหม่อีกครั้งเถิด”

กษัตริย์ซาดินทรงมีสีพระพักตร์ขุ่นพระทัยอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะทรงกระแทกองค์ลงประทับบนเบาะทรงกลมใบใหญ่ที่แท่นบัลลังก์ในห้องรับรอง “ไปเรียกทุกคนมา”

เมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้าแล้ว กษัตริย์ซาดินจึงทรงแจ้งบอกความประสงค์ของพระองค์ทันที “ข้าจะนำทัพขึ้นไปดูให้เห็นกับตาเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นบนนั้น”

“มันอันตรายเกินไป ท่านจะนำทัพขึ้นไปคนเดียวโดยที่ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรอย่างนั้นหรือ?” ราชินีเนริมอร์ทรงแย้งขึ้น

“แล้วเจ้าจะให้ข้านั่งรอไปถึงเมื่อไหร่กัน” กษัตริย์ซาดินตรัสอย่างไม่พอพระทัย

ด้านแบล็ค ไวเซอร์เมื่อรู้ถึงความประสงค์ของกษัตริย์ซาดินก็รีบเหลือบมองเบลซ เซจทันทีนัยว่าจะขอความเห็น ด้วยหากกษัตริย์ซาดินเกิดเป็นอะไรขึ้นมา แผนการที่จะตีฟีเลเซียคงต้องชะงักงันไปอีกนาน

“อย่างน้อยก็น่าจะให้ใครติดตามพระองค์ไปด้วย เพื่อความไม่ประมาท” เบลซ เซจเสนอความเห็นขึ้น

กษัตริย์ซาดินทอดพระเนตรทุก ๆ คนอย่างประหลาดพระทัย นี่แทบจะเป็นครั้งแรกที่ทั้งที่ประชุมมีความเห็นสอดคล้องกันเช่นนี้ แม้แต่คู่กัดตลอดกาลอย่างราชินีเนริมอร์และเบลซ เซจยังมีความเห็นคล้ายคลึงกัน

“ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นเบลซ เซจ และแบล็คไวเซอร์เจ้าทั้งสองไปกับข้า ส่วนเนริมอร์และราโชยู พวกเจ้าอยู่คุมทัพใหญ่ที่นี่” เมื่อทุกคนไม่คัดค้าน กษัตริย์ซาดินจึงทรงสั่งการทันที “เอาล่ะ! ราโชยูรีบไปจัดทัพให้ข้า ข้าจะออกเดินทางทันทีที่จัดทัพเสร็จ ส่วนเจ้าทั้งสองเตรียมตัวให้พร้อมโดยเร็วที่สุดแล้วมารายงานตัวที่นี่”

“พ่ะย่ะค่ะ” ทั้งสามรับคำโดยพร้อมเพรียงกัน ก่อนที่จะแยกย้ายไปจัดการงานของตน

ภายในเวลาเพียงสามสิบนาที ทัพของกษัตริย์ซาดินก็พร้อมออกเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาคีรีบันดา กองทัพใหญ่อันประกอบด้วยกองนกโมฮาหนึ่งพันห้าร้อยนาย มังกรซาลามันเดอร่ายี่สิบตัว มือเพชฌฆาตแห่งซาโลมสองร้อยนาย นักรบเพลิงมารสามร้อยนาย ผู้ฝึกสัตว์ห้าสิบนายและฝูงสัตว์ร้ายอีกหนึ่งพันตัว รวมทั้งทหารชั้นเลวอีกหกพันนาย โดยกษัตริย์ซาดินขึ้นทรงซาลามันเดอร่าของพระองค์ ในขณะที่เบลซ เซจและแบล็คไวเซอร์ขึ้นนั่งรถศึกที่ลากด้วยมาสติคอร์หุ้มเกราะ มุ่งหน้าสู่ยอดเขาที่สลับซับซ้อนของคีรีบันดาอย่างรวดเร็ว

***********************************


ช่วงสายของวันที่สิบเจ็ดกษัตริย์ซาดินก็ทรงนำทัพขึ้นไปถึงช่องเขาแห่งหนึ่งบนยอดเขาคีรีบันดา ในช่องเขานี้มีร่องรอยการผ่านมาของกองทัพแห่งซาโลมไม่ว่าจะเป็นรอยเท้ามากมาย หรือร่องรอยเถ้าถ่านที่เย็นชื้นของกองไฟที่เหล่าทหารก่อทิ้งไว้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณอันบ่งบอกว่ากองทัพได้มุ่งหน้ามาถูกทางแล้วนั่นเอง

ขณะที่กองทัพเคลื่อนลึกเข้าไปในช่องเขานั้น กลิ่นคาวเลือดรุนแรงคละคลุ้งก็เริ่มโชยมาเป็นระยะ ๆ ร่องรอยของหินถล่มที่กองทับกันระเกะระกะตามช่องเขาเกลื่อนไปหมด เหล่าทหารเริ่มระวังตัวกันมากขึ้น ต่างก็เหลียวซ้ายแลขวามองหาสิ่งผิดปกติใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วยทุกเมื่อ พวกมังกรและเหล่าสัตว์เริ่มมีอาการตื่นตระหนกเล็กน้อย แม้แต่วิหคโลกันต์ของแบล็ค ไวเซอร์เองก็มีท่าทีลุกลี้ลุกลนเช่นกัน

เพียงแค่เลี้ยวโค้งตรงช่องเขาต่อมา เหล่าทหารหน่วยหน้าก็ต้องตกตะลึงยืนนิ่งจนทำให้ขบวนทัพต้องชะงักไปทั้งขบวน ลมที่พัดผ่านช่องเขาพาเอากลิ่นคาวเลือดและซากเนื้อเน่าที่เหม็นรุนแรงจนแสบจมูกกระจายไปทั่วบริเวณ พระทัยของกษัตริย์ซาดินนั้นทรงอยากจะทอดพระเนตรเหตุการณ์เบื้องหน้ายิ่งนัก จึงทรงเร่งส่งสัญญาณให้เดินทัพต่อทันที ทัพหน้าเมื่อตั้งสติได้ก็เดินทัพต่อหากแต่ความเร็วของฝีเท้าลดลงอย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่งเมื่อกษัตริย์ซาดินทรงเลี้ยวโค้งมาได้ กษัตริย์หนุ่มทรงถึงกับผงะกับภาพตรงหน้า ซากศพแหลกเหลวของกองทัพซาโลมกระจัดกระจายไปทั่วช่องเขานั้น รอยเลือดสาดกระเซ็นทั่วไปหมดไม่ว่าจะเป็นตามพื้นที่กินเนื้อที่ยาวจนสุดขอบโค้ง ผนังทั้งสองข้างตั้งแต่พื้นดินจนสูงขึ้นไปอีกหลายสิบเมตรล้วนเปรอะไปด้วยคราบเลือดจนดูเหมือนว่าไม่เหลือที่ว่างที่เป็นสีของพื้นดินเลย ความโกรธแค้นของกษัตริย์ซาดินพุ่งพล่านขึ้นจนอกแทบระเบิดทันที พระองค์ทรงขบกรามแน่น เนื้อตัวสั่นเทิ้ม ก่อนจะระเบิดเสียงตะโกนอย่างแค้นเคืองดังกึกก้อง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter14 ขุนเขาคำราม @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ จันทร์ ส.ค. 17, 2009 11:27 pm

“ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร มันต้องตาย!!!”

เสียงโห่ร้องของทหารเรือนหมื่นก็ดังสนั่นรับคำของกษัตริย์ซาดิน ทันใดนั้นเสียงร้องคำรามดังกึกก้องกัมปนาทก็ลั่นรับกลับมาพร้อมกับแผ่นดินไหวอย่างแรง ฝุ่นดินจากเศษหินและดินที่ร่วงลงมาทำให้ฝุ่นสีน้ำตาลกระจายฟุ้งไปทั่วบริเวณ ในชั่วเสี้ยววินาทีที่ฝุ่นดินจางไปนั้นก็ปรากฏร่างมหึมาของมังกรยักษ์สองหัวสีน้ำตาลขึ้นตรงเบื้องหน้ากองทัพห่างออกไปเพียงยี่สิบเมตรเท่านั้น เสียงโห่ร้องของกษัตริย์ซาดินและเหล่าทหารเงียบสนิทลงทันที ต่างก็อ้าปากค้างตกตะลึงกับความใหญ่โตมโหฬารของมังกรยักษ์ตัวนี้ ขนาดที่ใหญ่โตของมันทำให้ดูเหมือนกับว่ามีคนยกเอาภูเขาทั้งลูกมาตั้งไว้ข้างหน้า ดวงตาทั้งสี่ของมันกลอกไปมาอย่างลุกลน เสียงลมหายใจดังฟืดฟาดน่ากลัว แรงลมที่เกิดจากการหายใจของมันทำเอาทหารที่อยู่แถวหน้าถึงกับยึดโล่ห์ของพวกตนไว้ไม่อยู่จนโล่ห์ปลิวไปอันละทิศละทาง ปากที่ใหญ่โตของมันสามารถจุซาลามันเดอร่าที่โตเต็มที่ได้ถึงคราวละสิบตัวหรืออาจจะมากกว่านั้น มันค่อย ๆ ย่างก้าวเข้ามาทีละก้าว ๆ ทุก ๆ ย่างก้าวของมันทำให้ภูเขาทั้งลูกสะเทือน ทหารบางคนเริ่มทิ้งอาวุธและวิ่งหนี บางคนก็หันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูก

ข้างฝ่ายกษัตริย์ซาดินนั้นทรงมีความบ้าดีเดือดเป็นทุนอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อผนวกเข้ากับความโกรธแค้นที่เสียทหารมากมาย ไปอย่างไร้ประโยชน์ ซ้ำทหารใจเสาะที่เริ่มทิ้งอาวุธวิ่งหนีเอาตัวรอดไปก่อนเช่นนี้ก็ยิ่งทวีความโกรธแค้นบ้าเลือดขึ้นเป็นทวีคูณ กษัตริย์ซาดินทรงชูกระบองขึ้นจนสุดแขน

“ฆ่ามัน!!!”


ทหารบางคนที่ฮึดสู้ก็โห่ร้องรับคำสั่งของกษัตริย์ซาดิน แทบจะทันทีเจ้ามังกรใหญ่ก็คลุ้มคลั่งกระทืบเท้าไปมา หัวข้างหนึ่งสะบัดฟาดใส่ผนังผาด้านหนึ่ง หัวอีกข้างก็เงยขึ้นร้องคำรามเสียงดังสนั่น ก่อนจะกระโจนใส่ทัพหน้าไล่กัดทหารเป็นพัลวัน เท้าอันมหึมาของมันเหยียบย่ำทหารแหลกเหลว เหมือนมดปลวก กองทัพแห่งซาโลมบัดนี้ดูราวกับฝูงมดที่แตกรัง ต่างก็วิ่งหนีไปคนละทิศละทาง ทหารบางคนที่หนีไม่ทันก็ถูกมังกรยักษ์เหยียบจนร่างแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี บ้างก็ถูกหินถล่มทับ บ้างก็ถูกกัดตาย
กษัตริย์ซาดินเมื่อทรงทอดพระเนตรเหตุการณ์ดังนั้นก็ยิ่งกริ้วโกรธจนตัวสั่นรีบขี่ซาลามันเดอร่าเข้าไปหาหมายจะสู้กับเจ้ามังกรยักษ์ แต่ทว่าซาลามันเดอร่ากลับตื่นตกใจไม่ยอมเดินเข้าไปหามังกรยักษ์ เบลซ เซจเห็นดังนั้นจึงรีบปรามอย่างร้อนรน

“ฝ่าบาท ถอนทัพก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

หากแต่กษัตริย์ซาดินยังไม่ทรงฟังเสียงและพยายามบังคับซาลามันเดอร่าให้เดินตรงไป เบลซ เซจมองไปยังมังกรยักษ์ที่เดินเข้ามาใกล้ทุกที ขณะนี้มันกำลังกระแทกตัวใส่ผนังผาด้านขวาอย่างแรงจนดูราวกับภูเขาลูกหนึ่งกำลังพุงชนภูเขาอีกลูกหนึ่งให้หายไป

“ฝ่าบาท ได้โปรดเถิด มิฉะนั้นพวกเราจะพากันตายทั้งหมด”

กษัตริย์ซาดินทรงกำกระบองแน่นอย่างโกรธแค้น ก่อนที่จะตะโกนสุดเสียง

“ถอย!!”


**************************************


ณ กระโจมกลางค่ายทหารของซาโลม เหล่าแม่ทัพต่างอยู่กันพร้อมหน้า ทุกคนต่างนั่งประจำที่ของตนบนเบาะทรงกลมสีแดงหม่น ๆ เรียงลดหลั่นกันไปตามลำดับยศ บนบัลลังก์นั้นเองกษัตริย์ซาดินประทับอยู่บนเบาะทรงกลมสีแดงสดขนาดใหญ่โดยพระนางเนริมอร์ประทับอยู่บนเบาะสีแดงอีกใบที่เยื้องไปทางด้านหลังเล็กน้อย

บรรยากาศในกระโจมเวลานี้อึมครึมชวนให้น่าอึดอัดยิ่ง สาเหตุก็เป็นเพราะขณะนี้กษัตริย์ซาดินทรงโกรธจัดราวกับภูเขาไฟคุ กรุ่นที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ

“นั่นมันตัวบ้าอะไรกัน!!!” กษัตริย์ซาดินทรงคำรามสุดเสียงพร้อมกับใช้แขนข้างหนึ่งฟาดใส่โต๊ะข้างเบาะที่นั่งเต็มแรงจนโต๊ะหักเป็นเสี่ยง ๆ เหล่าแม่ทัพต่างสะดุ้งกันโหยงก่อนจะนิ่งเงียบมิกล้าปริปากใด ๆ ราชินีเนริมอร์ทรงมองผู้เป็นสามีจากทางเบื้องหลังอย่างไม่ใคร่สบายใจนัก ภาพกองทหารแตกทัพที่วิ่งหนีลงมาจากยอดเขาอย่างอลหม่าน ต่างก็พกช้ำดำเขียวกันไปตาม ๆ กัน บ้างถึงกับแข้งขาขาดก็มี กองทัพเรือนหมื่นเหลือกลับมาเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ทว่าแม้แต่ทั้งตัวพระนางและแม่ทัพคู่ใจอย่างราโชยูก็ยังมิกล้าถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนยอดเขาคีรีบันดากับกษัตริย์ซาดินผู้ซึ่งพร้อมที่จะระเบิดอารมณ์ใส่ใครก็ได้ในขณะนี้
แบล็ค ไวเซอร์ผู้นั่งขมวดคิ้วแน่นตั้งแต่กลับลงมาจากยอดเขาราวกับคนที่พยายามจะรำลึกถึงอะไรบางอย่าง ในที่สุดก็พูดเปรยออกมาเบา ๆ อย่างไม่ใคร่แน่ใจนัก “หรือว่าตำนานนั่นจะเป็นเรื่องจริง”

“ตำนานบ้าอะไร!!” กษัตริย์ซาดินทรงตวัดเสียงใส่

“ทูลฝ่าบาท เมื่อยังเด็กกระหม่อมเคยได้ยินอาจารย์พูดถึงตำนานโบราณว่าบนเขาคีรีบันดามีเทพผู้พิทักษ์อยู่ แต่ก็ไม่เคยมีใครได้เห็นเทพผู้พิทักษ์ยอดเขานี้เลย จนกระหม่อมคิดว่าน่าจะเป็นเพียงนิทานพื้นบ้านมากกว่า”

“แล้วยังไง มันก็ไม่ได้ช่วยให้รู้อะไรมากขึ้นไปกว่าตอนนี้เลยสักนิด” กษัตริย์ซาดินตรัสอย่างขุ่นเคือง

“บางทีกระหม่อมอาจจะเรียกอสูรกึ่งภูติที่อาศัยอยู่บริเวณนี้มาสอบถามได้”

“ก็รีบจัดการเข้าสิ” กษัตริย์ซาดินตรัสด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นขึ้น

“ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอทหารที่ไร้ประโยชน์จากพระองค์สักสี่ห้าคนพ่ะย่ะค่ะ”

กษัตริย์ซาดินมองแบล็ค ไวเซอร์อย่างชั่งพระทัยครู่หนึ่ง “ได้!”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter14 ขุนเขาคำราม @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ จันทร์ ส.ค. 17, 2009 11:28 pm

เพียงไม่กี่นาทีทหารที่บาดเจ็บถึงขั้นพิการสี่คนก็ถูกหามเข้ามาภายในกระโจม ทั้งสี่ต่างมองรอบกายอย่างกลัว ๆ กล้า ๆ ด้วยมิรู้จุดประสงค์ที่ถูกเรียกตัวเข้าเฝ้า แบล็ค ไวเซอร์มองทหารเหล่านั้นด้วยสีหน้านิ่งเฉยกล่าวว่า

“วันนี้พวกเจ้าได้รับเลือกให้รับใช้กองทัพและองค์ซาดิน จงภูมิใจซะ”

เมื่อกล่าวจบแบล็ค ไวเซอร์ก็ท่องคาถาพลางวาดวงอาคมวงใหญ่ขึ้นสองวง วงหนึ่งล้อมรอบทหารทั้งสี่คน อีกวงมีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย พ่อมดดำวาดเส้นขอบวงทั้งสองให้สัมผัสชิดกันพอดี เสียงนกนรกคู่ใจก็เริ่มร้องเสียงดังชวนขนลุก ทหารทั้งสี่คนเริ่มเห็นท่าไม่ดีก็เริ่มมองหาทางหนีทีไล่ สักพักก็มีกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นมาจากใจกลางวงเวทย์ที่สองนั้นเป็นละลอก ๆ พุ่งขึ้นไปเหนือเพดานว่ายวนเป็นวง แต่หากสังเกตดูดี ๆ แล้วควันเหล่านั้นคือวิญญาณที่มีแต่หัวโดยมีไอสีขาวยาวเป็นทางคล้ายหางว่ายวนอยู่บนเพดานนั่นเอง ทันใดนั้นก็มีกลุ่มควันมากมายพวยพุ่งขึ้นจากใจกลางวงเวทย์พร้อมกับเสียงหัวเราะแหบ ๆ ดังออกมาจากกลุ่มควันนั้น
ครั้นเมื่อกลุ่มควันจางหายไปก็ปรากฏร่างของปรสิตพิษ(Poisoned Parasite)อสูรกึ่งภูตตัวสูงใหญ่ แทบจะทันทีมันก็พ่นไอพิษใส่กลุ่มทหารทั้งสี่แล้วตรงเข้าดึงทึ้งกัดกินอย่างตะกละตะกราม ทหารทั้งสี่ต่างหวาดกลัวคลานหนีเอาตัวรอดกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ถูกกลุ่มกระโหลกวิญญาณที่ลอยวนเวียนอยู่กดทับร่างจนหนีไปไหนไม่ได้ จึงได้แต่ร้องเรียกให้คนช่วย บ้างก็ร้องขอความเมตตาจากกษัตริย์ซาดินและราชินีเนริมอร์ บ้างก็กรีดร้องดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด ทุกคนในกระโจมต่างตื่นตะลึงกับภาพที่เห็น บางคนก็สะอิดสะเอียนจนต้องเบือนหน้าหนีแต่ก็มิอาจทำอะไรได้ ข้างฝ่ายกษัตริย์ซาดินก็ตื่นตะลึงไม่แพ้กัน

“แบล็ค ไวเซอร์ นี่เจ้า...” กษัตริย์ซาดินทรงตวาดด้วยความโกรธ

“ฝ่าบาท ถ้าเราต้องการใช้ประโยชน์จากมัน เราก็จำเป็นต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนที่น่าพอใจ”

กษัตริย์ซาดินทรงได้แต่นิ่งอึ้งตรัสอะไรไม่ออก ปรสิตพิษกัดกินทหารจนไม่เหลือแม้แต่ซาก คงเหลือแต่รอยเลือดที่สาดกระจายนองพื้นทั่วไปหมด มันเงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงแห้ง ๆ ฉับพลันก็มีกะโหลกวิญญาณพุ่งออกมาจากปากมันถึงสี่ดวง ซึ่งก็คือวิญญาณของทหารทั้งสี่ที่มันกินเข้าไปนั่นเอง กะโหลกวิญญาณทั้งสี่ก็แหวกว่ายอากาศไปรวมกลุ่มกับกะโหลกวิญญาณอื่น ๆ ที่ว่ายวนอยู่รอบตัวอสูรกึ่งภูตราวกับทาสผู้ซื่อสัตย์ ปรสิตพิษหัวเราะเสียงแห้งอย่างชอบใจ

“เจ้ามีกิจอันใดกับข้า” อสูรกึ่งภูตกล่าวเสียงแหบแห้งจนแทบจะต้องเงี่ยหูฟัง

ทันทีที่มันพูด วิหคโลกันต์ของแบล็ค ไวเซอร์ก็ตีปีกส่งเสียงร้องโหยหวนราวกับจะกล่าวทักทาย ทำเอาบรรยากาศที่ดูวังเวงอยู่แล้วยิ่งชวนขนลุกยิ่งขึ้น

“วันนี้พวกข้าได้ยกทัพขึ้นสู่ยอดเขา และได้พบกับมังกรสองหัวตัวใหญ่มหึมา ข้าอยากจะรู้ว่าเจ้ามังกรยักษ์ที่อยู่บนยอดเขานั่นคือตัวอะไร”

“แหะ แหะ แหะ” เสียงหัวเราะแหบแห้งของปรสิตพิษฟังดูยียวน เหมือนมันกำลังหัวเราะเยาะ “ข้าเห็นแล้ว พวกเจ้าหนีกันไม่เป็นท่าเลย”

เมื่อกษัตริย์หนุ่มทรงได้ยินดังนั้นความอับอายอดสูก็โถมเข้าใส่เพลิงโกรธดังน้ำมันราดรดบนกองไฟ

“มันคือตัวอะไร!” กษัตริย์ซาดินทรงตวาดเสียงดัง

ปรสิตพิษถึงกับผงะด้วยว่ามันรู้ดีถึงความเก่งกาจของกษัตริย์ซาดินโดยการรำลึกความทรงจำที่ได้จากทหารทั้งสี่ที่มันกินเข้าไป มันจึงค่อยตอบคำถามอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น

“มันคือ มังกรสองหัวไพทอน มังกรเทพผู้พิทักษ์เทือกเขาคีรีบันดา มันเป็นมังกรที่กินแต่พืชหญ้าเป็นอาหาร ไม่เคยทำลายสิ่งมีชีวิตและไม่เคยออกจากบริเวณหุบเขาเลย”

“โกหก!! มันทำลายกองทัพของข้าไปถึงสี่กองทัพ” กษัตริย์ซาดินทรงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด พลางเอื้อมพระหัตถ์ไปหยิบกระบองคู่กายอย่างรวดเร็ว “หากเจ้ายังมั่วแต่เล่นลิ้นไม่บอกความจริง ข้าจะฆ่าเจ้าซะ”

ปรสิตพิษผงะถอยอีกครั้ง รีบละล่ำละลักพูดน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้าไม่ได้โกหก เพียงแต่ว่ามังกรไพทอนนี้จะมีสัมผัสไวต่อสภาวะจิตของสิ่งมีชีวิต หากมีจิตใจที่ไร้พิษสง เช่นชาวบ้านที่เก็บฟืนหรือหาของป่าเข้ามาใกล้ มันก็จะไม่ทำอันตรายใด ๆ แต่หากมีจิตที่หวาดกลัวว้าวุ่น เช่นเวลาจะมีภัยธรรมชาติ พวกสัตว์น้อยใหญ่จะมีสัมผัสก่อน ก็พากันหนีอพยพ ความหวาดกลัวของพวกสัตว์จะส่งผลต่อไพทอน มันก็จะรู้สึกกดดันอึดอัดส่งเสียงร้องและกระสับกระส่าย หรือถ้ามีมนุษย์จำนวนมาก ๆ ขึ้นล่าสัตว์ ก็เกิดผลดุจเดียวกัน ดังนั้น พวกฟูดินันจึงมีธรรมเนียมไม่ออกล่าสัตว์พร้อมกันเกินสามคน ส่วนเมื่อคราวที่พวกท่านขึ้นไปบนยอดเขานั้น จิตที่กระหายเลือดกระหายสงครามนับแสนที่ถูกปลุกเร้าเพื่อการรบทำให้ไพทอนคลุ้มคลั่ง เมื่อพวกทหารยิ่งมีจิตใจจะต่อสู้มันก็ยิ่งโกรธอาละวาดจนพินาศสิ้นอย่างที่ท่านเห็นนั่นแหละ”

“หมายความว่า ถ้ามีจิตใจจะสู้รบก็ไม่มีทางเข้าใกล้มันเลยสิ แล้วเราจะปราบมันได้อย่างไร….จริงสิ! มันมีจุดอ่อนอยู่ที่ไหน” กษัตริย์ซาดินตรัสถามอย่างมีความหวัง

“ไม่มี” ปรสิตพิษตอบห้วน ๆ

“นี่เจ้าจะบอกว่า ไม่มีทางที่เราจะนำกำลังรบ ผ่านเทือกเขานี่ได้เลยรึ” กษัตริย์ซาดินทรงเริ่มกริ้วโกรธอีกครั้ง

“เท่าที่ข้ารู้ คือไม่มี” ปรสิตพิษตอบ “นอกจากท่านจะส่งคนที่ไม่มีจิตใจจะรบผ่านไปนั่นแหละ นั่นแปลว่าท่านต้องส่งชาวบ้านให้เดินข้ามไม่ใช่ทหาร และนั่นหมายถึงตัวท่านเองคงไม่มีทางผ่านได้แน่ เพราะแค่ใจกระหายสงครามของท่านคนเดียวก็เพียงพอจะทำให้มันอาละวาดทำลายทั้งกองทัพ”

กษัตริย์ซาดิน ถอนพระทัยเฮือกใหญ่ ทิ้งองค์ลงนั่งนิ่งเงียบเพื่อใช้ความคิดครู่หนึ่ง “ถ้าเช่นนั้นมีทางอื่นที่สามารถข้ามไปฝั่งฟูดินันได้อีกหรือไม่”

“มีอีกทางคือท่านต้องเดินทัพอ้อมเทือกเขาไปทางตะวันตกแล้วลงใต้ ผ่านที่ราบระหว่างฟีเลเซียและฟูดินัน แล้วจึงย้อนเข้าฟูดินันอีกที”

“ไม่....ทางนั้นใช้เวลามากเกินไป ทั้งเสบียงอาหารก็จะพาลหมดเสียก่อน ไหนจะต้องผ่านดินแดนของฟีเลเซียอีก ปัดโธ่! นี่เราจะผ่านมังกรตัวนี้ไปได้อย่างไรกัน” กษัตริย์ซาดินตรัสอย่างว้าวุ่นพระทัยนัก

“นั่นเป็นปัญหาที่ท่านต้องขบคิด ข้าขอตัว” ปรสิตพิษพูดจบก็รีบพุ่งลงสู่วงเวทย์หายไปพร้อม ๆ กับเหล่ากระโหลกวิญญาณทั้งหมด ทิ้งให้กษัตริย์ซาดินและเหล่าแม่ทัพขบคิดวิธีแก้ปัญหากันเอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter14 ขุนเขาคำราม @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ จันทร์ ส.ค. 17, 2009 11:29 pm

หลังจากที่ปรสิตพิษจากไปแล้ว หากแต่การประชุมยังคงดำเนินต่อไปอย่างเคร่งเครียด ทุกคนต่างก็ทุ่มเถียงกันถึงวิธีที่จะผ่านเจ้ามังกรยักษ์ไพทอนไปให้ได้ ทว่าก็ไม่มีใครสักคนจะสามารถหาวิธีผ่านมันไปได้ การประชุมที่ดูเหมือนจะยาวนานไม่มีที่สิ้นสุดทำให้ทุกคนเหนื่อยล้ากันเต็มที กษัตริย์ซาดินเองก็ทรงเห็นว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป ขวัญและกำลังของทหารคงจะหมดไปในไม่ช้า ทว่าพระองค์เองก็ไม่รู้จะผ่านเจ้ามังกรยักษ์ไปได้อย่างไรเช่นกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งให้หงุดหงิดรำคาญพระทัยนัก

“ฝ่าบาท ข้าพระองค์มีความคิดบางอย่างจะเสนอ ไม่ทราบว่าพระองค์จะพอพระทัยหรือไม่” เบลซ เซจ เอ่ยทูลขึ้นในที่สุด

“รีบว่ามา” ซาดินกล่าวเสียงกระตือรือร้น

“หากเราไปทางช่องเขานี้ไม่ได้ และพระองค์ไม่ประสงค์จะอ้อมเทือกเขา ก็เหลืออยู่ทางเดียว”เบลซ เซจ แสยะยิ้มพลางค่อย ๆ ใช้นิ้วชี้ที่ยาวและเต็มไปด้วยรอยปูดโปนของกระดูกชี้ขึ้นฟ้า “ทางอากาศพ่ะย่ะค่ะ”

ทันใดก็เกิดเสียงพูดคุยโต้แย้งกระหึ่มจากบรรดาแม่ทัพนายกองจนฟังไม่ได้ศัพท์ กษัตริย์ซาดินทรงรีบยกพระหัตถ์ขึ้นเป็นนัยให้เงียบเสียงลง ก่อนจะทรงใช้พระหัตถ์อีกข้างลูบคางพลางยื่นพระพักตร์มาฟังอย่างตั้งใจ

“ว่าไป เบลซ เซจ” กษัตริย์ซาดินตรัส

“การไปทางอากาศนี้มิใช้การขนกองทัพทั้งหมดขึ้นไป แต่เป็นการส่งกองทัพบางส่วนไปตัดกำลังของฟูดินันเสียก่อนเพื่อมิให้สามารถจัดกองทัพมาสู้กับเราได้ เมื่อกองทัพใหญ่เคลื่อนไปถึง และยังเป็นการส่งคนไปสำรวจจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ๆ ของฟูดินันอีกด้วย พระองค์คงจำได้ว่าเจ้ามังกรตัวนี้จะคลุ้มคลั่งแม้แต่ในกรณีของภัยธรรมชาติ” เบลซ เซจ พูดพลางกางแผนที่ลงบนโต๊ะ “บริเวณนี้คือป่าทมิฬซึ่งอยู่ติดกับเทือกเขาด้านตะวันตก ซึ่งตามที่ข้าพระองค์สืบทราบมา บริเวณนี้มีชนเผ่าเล็ก ๆ หลายเผ่าอาศัยอยู่ และชนเผ่าบริเวณนี้เป็นชนเผ่าที่แข็งแกร่งและป่าเถื่อนที่สุดของฟูดินัน ดังนั้นเราจะใช้พวกมันนี่แหละให้เป็นประโยชน์ หากเราส่งกองทัพขึ้นไปเผาป่าทมิฬนี่เพื่อล่อเจ้ามังกรใหญ่ให้มัวแต่สาละวนอยู่กับเทือกเขาด้านนี้ จังหวะนั้นเราก็เคลื่อนทัพไปอีกฟากหนึ่งของเทือกเขาฝั่งทิศตะวันออกที่ติดกับทะเลทางด้านนี้ แล้วข้ามเทือกเขาทางช่องเขานี้ การบุกเข้าฟูดินันก็ง่ายนิดเดียว”

“แล้วเราจะส่งกองทัพที่ว่าไปเผาได้ด้วยวิธีใดเล่า ในเมื่อเพียงแค่มีจิตสังหารเจ้ามังกรนั่นก็อาละวาดแล้ว ไอ้เจ้าตัวประหลาดเมื่อกี้ยังบอกเลยว่าพวกพรานล่าสัตว์ของฟูดินันยังขึ้นเขาแค่คราวละไม่เกินสามคนเท่านั้น” ราโชยูถามขึ้น

“ถูกต้อง เราส่งคนไปมาก ๆ ไม่ได้ ดังนั้นเราจึงจะส่งฝูงมังกรไฟบินข้ามหัวเจ้ามังกรยักษ์นี้ไปให้พ้นจากรัศมีที่มันจะสัมผัสถึงจิตสังหารได้ แล้วจัดการเผาป่าทมิฬเสียให้ราบเป็นหน้ากอง ภารกิจในครั้งนี้เราจะใช้คนเพียงแค่สองคนเท่านั้น หนึ่งคือผู้ควบคุมสัตว์แห่งซาโลมเพื่อการคุมทัพมังกร และอีกหนึ่งคือผู้ที่ไม่มีจิตใจที่จะสู้รบแต่มีพลังมากพอที่จะเผาฟูดินันให้ราบได้ในพริบตา”
เมื่อพูดจบทุกคนก็หันไปมองราชินีเนริมอร์เป็นตาเดียว ในขณะที่พระนางเนริมอร์ก็ทรงจ้องเบลซ เซจราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เบลซ เซจจ้องกลับ แสร้งโค้งคำนับอย่างอ่อนน้อม

“พระนางคือผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะกระทำการนี้พ่ะย่ะค่ะ เพราะพระนางมีความห่วงหาในพระโอรสเกินกว่าจะมีจิตใจที่จะออกรบ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าพระนางคือผู้เดียวในกองทัพที่ไม่มีจิตสังหาร”

“มีสิ ข้ามีจิตสังหารที่จะฆ่าเจ้ายังไงล่ะ” ราชินีเนริมอร์ทรงชะโงกองค์มาข้างหน้า เหยียดริมพระโอษฐ์ขึ้นตรัสเป็นเชิงสัพยอกหากแต่แววตานั้นฉายแววชิงชังชัดเจน เนื่องด้วยพระนางรู้ดีว่าแม้นพระนางจะโกรธเกลียดจนอยากจะปลิดชีพอุปราชเฒ่าเพียงใด แต่ในยามศึกสงครามเช่นนี้ความขัดแย้งภายในเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับกองทัพ

“เนริมอร์” กษัตริย์ซาดินตรัสเตือนเสียงเรียบ

ราชินีเนริมอร์ทรงถอยองค์กลับไปประทับท่าเดิม แล้วจึงเริ่มต้นตรัสต่อ “ช่างแสนรู้เสียเหลือเกินนะ ในเมื่อจะบินข้ามหัวเจ้ามังกรนั่นไปล่ะก็ จะเป็นคนที่มีจิตสังหารหรือไม่ก็ไม่ต่างกันมิใช่รึ”

เบลซ เซจหัวเราะเบา ๆ ซึ่งนั่นก็เป็นการยั่วโทสะเนริมอร์ได้เป็นอย่างดี “การจะข้ามไปโจมตีศัตรู จะต้องหยุดซุ่มดูจุดยุทธศาสตร์ของศัตรูก่อนมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ และการซุ่มดูนั้นแน่นอนว่าต้องดูจากที่สูง แต่ถ้าอยู่บนฟ้าก็จะเป็นจุดเด่นเกินไป ดังนั้นสังเกตการณ์ตามยอดเขาไหล่เขาย่อมจะดีกว่า และแน่นอนว่าเจ้ามังกรยักษ์ก็คงจะสัมผัสได้ทันทีถึงจิตสังหาร แต่หากเป็นพระนาง เมื่อพระองค์ข้ามผ่านพ้นไปแล้ว พระองค์ก็สามารถทรงซุ่มสังเกตการณ์บนไหล่เขา ซึ่งแน่นอนว่าพระองค์ต้องปลอดภัยจากเจ้ามังกรนั้น ฉะนั้นข้าพระองค์จึงกล่าวว่าพระนางเหมาะสมที่สุดสำหรับภารกิจในครั้งนี้”

“ดี ข้าเห็นด้วยกับความคิดของเจ้า ในสถานการณ์เช่นนี้ วิธีนี้น่าจะดีที่สุด” กษัตริย์ซาดินตรัสขึ้น

“แต่ข้า...” ราชินีเนริมอร์ตรัสแย้งยังไม่ทันจบกษัตริย์ซาดินก็ทรงหันมาจ้องพระพักตร์นางเขม็ง “ก็ได้! ถ้าเช่นนั้นหากข้าทำภารกิจเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ ข้าขอกลับไปเยี่ยมลูกตามที่ท่านได้เคยให้สัญญาไว้กับข้า เพราะถึงอย่างไรท่านก็ต้องเสียเวลาในการเดินทัพอยู่ดี และเมื่อครบกำหนดสามเดือนแล้วข้าก็จะตามไปสมทบที่ค่ายด้วยผ้าคลุมผืนนั้นทันที” ราชินีเนริมอร์ทรงเสนอขึ้นอย่างมีความหวัง

กษัตริย์ซาดินนั่นมิใคร่จะพอใจนักแต่เพื่อเป็นการตัดปัญหาจึงจำใจต้องอนุญาตพระนาง

“ก็ได้ ข้าอนุญาต”

พระนางเนริมอร์ทรงยิ้มกว้างดวงตาพราวระยับ บัดนี้ในใจของพระนางมีแต่ความโลดเต้นยินดีที่จะได้กลับไปหาบุตรชายจนลืมความขุ่นข้องหมองใจเมื่อสักครู่ไปจนหมดสิ้น

“ได้ จัดทัพให้ข้าเช้ามืดพรุ่งนี้ ข้าพร้อมจะออกเดินทางทันที”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter14 ขุนเขาคำราม @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ จันทร์ ส.ค. 17, 2009 11:30 pm

ทุกคนต่างโล่งใจไปตาม ๆ กันเมื่อองค์ราชาและมหารานีตกลงกันได้ในที่สุด

“น่าเสียดายนัก ข้าไม่อยากพลาดดูเหตุการณ์อันน่าอภิรมย์นี้เลย ถ้าเพียงข้าข้ามไอ้เจ้ามังกรนั่นไปได้...” กษัตริย์ซาดินตรัสอย่างเสียมิได้

แบล็ค ไวเซอร์ รีบก้าวออกมายืนต่อหน้าบัลลังก์ทันที พลางโค้งตัวลงเพียงเล็กน้อย แสยะยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ “กระหม่อมสามารถทำให้พระองค์ติดตามสถานการณ์นี้ได้อย่างใกล้ชิดโดยมิพลาดการณ์แม้สักนาทีพ่ะย่ะค่ะ พระองค์จะได้ทอดพระเนตรราวกับทรงทอดพระเนตรด้วยตาเปล่า”

“จริงรึ เจ้าจะทำได้ด้วยวิธีใดกัน?” น้ำเสียงของ กษัตริย์ซาดิน แสดงความตื่นเต้นดีพระทัยขึ้นอย่างทันที

แบล็ค ไวเซอร์ พยักหน้าให้เบลซ เซจ เป็นสัญญาณ เบลซ เซจ ก็รีบหันไปสั่งการทหารรับใช้สองสามคำ แล้วทหารนายนั้นก็รีบวิ่งออกจากกระโจมไปอย่างรวดเร็ว สักพักก็กลับเข้ามาพร้อมกับนายทหารอีกสี่นายซึ่งแบกอ่างน้ำขนาดใหญ่ที่มีน้ำบรรจุอยู่เต็มใบเข้ามา

“เอาล่ะ เจ้านกที่น่ารักของข้า ถึงตาเจ้าแสดงฝีมือแล้ว” แบล็ค ไวเซอร์ พูดด้วยเสียงแห้งต่ำกับสัตว์เลี้ยงของตน ซึ่งมันก็ผงกหัวรับคำผู้เป็นนายพลางบินไปเกาะที่ขอบอ่าง แบล็ค ไวเซอร์ ยกมือขึ้นต่อหน้ามันแล้วเริ่มส่ายไปมือไปมาเป็นจังหวะพร้อมกับร่ายเวทย์ ดวงตาทั้งสี่ของนกปีศาจก็ส่ายตามมือของแบล็ค ไวเซอร์ เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวเจ้านกปีศาจก็เริ่มเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ตัวของมันเริ่มโงนเงนเหมือนทรงตัวไม่อยู่และเมื่อพ่อมดดำหยุดเคลื่อนมือไปมาเจ้านกปีศาจก็ตัวแข็งทื่อไม่ต่างกับท่อนไม้ พ่อมดดำยิ้มพอใจก่อนที่จะใช้มือขวาควักลูกตาบนซ้ายของนกปีศาจออกมาช้าอย่างน่าสยดสยอง หากแต่เจ้านกปีศาจกลับยังสงบนิ่งไม่ไหวติงเหมือนหุ่นไม้อยู่เช่นนั้น ทันทีที่ลูกตาถูกควักออกมาเลือดปีศาจสีดำสนิทที่ไหลออกมาก็เดือดพล่านและไหลกลับเข้าไปในเบ้าตาที่กลวงโบ๋นั้นยังกับมีชีวิต แผลที่ถูกเปิดก็ค่อย ๆ เล็กลง ๆ จนสมานปิดกลายเป็นเนื้อเดียว เวลานี้ไม่เหลือร่องรอยว่าเคยมีดวงตาอยู่ที่นั่นแม้สักนิด และเมื่อแผลหายสนิทเจ้านกปีศาจก็กลับมีชีวิตอีกครั้ง มันบินกลับไปเกาะที่ไหล่เจ้านายของมันเหมือนไม่อะไรเกิดขึ้น ดูราวกับว่ามันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าบัดนี้มันเหลือดวงตาแค่สามดวงเท่านั้น ซึ่งได้สร้างความอัศจรรย์ใจและประหวั่นพรั่นพรึงในคาถาอาคมของพ่อมดดำผู้นี้แก่ทุกคนในที่ประชุมกันถ้วนหน้า

ส่วนลูกตาที่ถูกควักออกมานั้นชุ่มโชกไปด้วยเลือดปีศาจสีดำสนิทจนมือของแบล็ค ไวเซอร์กลายเป็นสีดำเพราะเลือดปีศาจไปด้วย พ่อมดดำจุ่มมือข้างที่ถือลูกตาลงไปในอ่างน้ำพลางแกว่งไปมาจนทั่วทั้งอ่างกลายเป็นสีดำสนิท

เมื่อพ่อมดดำยกมือขึ้นจากอ่างน้ำ ลูกตาของนกปีศาจกลับใสแจ๋วไม่ต่างลูกแก้วเลยสักนิด พ่อมดดำถือลูกตาแก้วไว้ในมือซ้ายส่วนมือขวานั้นก็จุ่มไม้เท้าลงไปในอ่าง เพียงแค่ลูกแก้วบนยอดไม้เท้าสัมผัสถูกน้ำในอ่างมันก็ส่องประกายสีเขียวขึ้นทันที แบล็ค ไวเซอร์เริ่มต้นท่องคาถาอีกครั้ง เพียงไม่กี่อึดใจก็เกิดหมอกควันสีขาวขึ้นเหนือผืนน้ำในอ่างนั้น พ่อมดดำชักไม้เท้าของตนขึ้นจากน้ำก่อนจะยืนมือที่ถือลูกตาแก้วขึ้นต่อหน้ากษัตริย์ซาดิน

“พระองค์จะได้ทอดพระเนตรความอัศจรรย์ ณ บัดนี้”

พ่อมดเป่าลมเบา ๆ เหนือกลุ่มหมอกควันนั้น กลุ่มหมอกก็สลายไปในอากาศทันทีเผยให้เห็นน้ำที่ใสสะอาดภายในอ่าง น้ำสีดำเมื่อสักครู่เปลี่ยนเป็นน้ำใสอีกครั้งและกำลังเปลี่ยนสถานะอีก น้ำค่อย ๆ เกิดระลอกคลื่นเล็ก ๆ รอบ ๆ ขอบอ่าง ทุก ๆ ครั้งที่เกิดระลอกคลื่น ภาพบางอย่างก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนผิวน้ำโดยชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ทุกคนในห้องต่างจ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ ในน้ำนั้นปรากฏเป็นภาพของกษัตริย์ซาดินและราชินีเนริมอร์ประทับอยู่บนบัลลังก์ เมื่อพ่อมดดำเคลื่อนมือที่ถือลูกตาแก้วไปทางใด ภาพในน้ำก็เคลื่อนตามอย่างน่าอัศจรรย์

“เพียงแค่พระนางนำลูกตาแก้วนี้ติดตัวไปด้วย ฝ่าบาทก็จะสามารถติดตามสถานการณ์ได้ชนิดที่ว่ามิพลาดแม้สักนาทีพ่ะย่ะค่ะ” พ่อมดดำกล่าว

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดีมาก เจ้าคือสุดยอดพ่อมดจริง ๆ แบล๊ค ไวเซอร์” กษัตริย์ซาดินทรงหัวเราะชอบพระทัย “ข้าแทบจะทนรอให้ถึงพรุ่งนี้ไม่ไหวแล้ว ฮ่า ฮ่า”

*********************************


รุ่งสางของวันใหม่เมื่อแสงแรกของดวงอาทิตย์เพิ่งจะจับที่เส้นขอบฟ้า ฝูงมังกรไฟ และมังกรไฟนิลทินโคออน(Niltincoion, the Fire Dragon)กว่าสองร้อยตัวก็โผทะยานขึ้นสู่ห้วงอากาศมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ สีแดงสดของฝูงมังกรไฟตัดกับสีฟ้าอ่อน ๆ ของท้องฟ้าดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ที่หัวขบวนนั้นราชินีแห่งซาโลมในชุดสีแดงเพลิงพร้อมคทาเวทย์คู่กายกำลังขี่ซาลามันเดอร่าของพระองค์บินไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีผู้ควบคุมสัตว์แห่งซาโลม(Zalom Tamer)คอยเร่งเหล่ามังกรไฟให้ตามองค์ราชินีไปไม่ห่าง

กองทัพมังกรไฟของราชินีเนริมอร์ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งวันเต็มในการบินข้ามเทือกเขาคีรีบันดาเพราะความกว้างใหญ่ของมหาเทือกเขา ซ้ำพระนางยังต้องทรงบินให้สูงพอที่จะพ้นจากการสัมผัสจิตสังหารของไพทอนมังกรเทพผู้พิทักษ์อีกด้วย กว่าพระนางจะหาไหล่เขาที่ปลอดภัยพอที่จะตั้งกระโจมที่พักและต้องเป็นลานที่ใหญ่พอจะจุมังกรไฟทั้งหมดได้เวลาก็ล่วงเลยไปมากแล้ว พระนางได้เลือกไหล่เขาที่ทอดยาวตามแนวเขาทิศตะวันตกของคีรีบันดาที่มีแง่งหินขนาดใหญ่เป็นที่พักและกำบังฝูงมังกรจากสายตาของศัตรูเบื้องล่าง ในขณะที่ผู้ควบคุมสัตว์ก็สั่งฝูงมังกรให้ยืนล้อมรอบกระโจมที่พักเป็นกำแพงมังกรไฟเพื่อป้องกันอันตรายต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น

ราชินีแห่งซาโลมทรงประทับยืนทอดพระเนตรแสงไฟดวงเล็ก ๆ ริบหรี่นับร้อยที่กระจัดกระจายเป็นหย่อม ๆ ทั่วพื้นป่ารกทึบเบื้องล่าง ผืนป่าที่อยู่เบื้องล่างนั้นดูแปลกใหม่และน่าตื่นตาสำหรับชาวทะเลทรายเช่นพระนางนัก แสงจากดวงจันทร์กลมโตใสกระจ่างสาดส่องเหนือเหล่าต้นไม้ที่ขึ้นจนดูหนาทึบแซมด้วยแสงไฟดวงเล็กนับร้อยนับพันราวกับทะเลเมฆสีเขียวหม่นที่มีดวงดาวประดับประดาอยู่เต็มผืนเมฆ พระนางพยายามจดจำและคะเนระยะห่างของแสงไฟเหล่านั้น โดยแสงไฟที่เกาะรวมกันเป็นกลุ่มนั้นย่อมหมายถึงที่ตั้งของชุมชนแน่นอน พระนางวาดแผนที่คราว ๆ เพื่อใช้เปลี่ยนเทียบกับเวลาที่ฟ้าสว่างแล้ว ต้นไม้ยักษ์ขนาดมหึมาที่ใหญ่โตจนดูเหมือนภูเขาลูกย่อม ๆ ก็โบกไหวตามแรงลมยามค่ำคืนอย่างแช่มช้อย ราชินีเนริมอร์ทรงทอดพระเนตรต้นไม้ยักษ์ด้วยความรู้สึกที่มิอาจบรรยายได้ก่อนที่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของลูกชายจะค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในมโนสำนึกของพระนาง
พระนางทรงยิ้มอย่างเป็นสุข “ลูกรักแม่กำลังจะได้กลับไปหาเจ้าแล้ว”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน

cron