Chapter 12 ที่รองพระบาทของพระเจ้า
สูงขึ้นไปเหนือที่ราบลุ่มเขียวชอุ่ม สายลมแห่งความโศกเศร้าและการสูญเสียเพิ่งจะพัดผ่านอาณาจักรชาตินักรบที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูงฟากตะวันตกของเมอร์ริเซียได้ไม่นานนัก สายลมแห่งความชื่นชมยินดีก็ถึงคราวหมุนเวียนเปลี่ยนพัดมาสู่อาณาจักรแห่งนี้ ฟีเลเซียอาณาจักรที่สายลมต่าง ๆ ล้วนพัดผ่านราวกับอาณาจักรแห่งนี้เป็นทางผ่านของเทพธิดาแห่งสายลม ในวันนี้เองอาณาจักรฟีเลเซียกำลังเฉลิมฉลองการขึ้นเถลิงราชสมบัติขององค์รัชทายาท ซิกมันด์ที่3แห่งราชวงค์อรีธา (Sigmund 3rd, Knight of Swords)
ฟีเลเซียอาณาจักรแห่งนักรบวันนี้ถูกตกแต่งอย่างสวยงามด้วยดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ ธงชาติฟีเลเซียถูกนำมาประดับทั่วทุกที่ในอาณาจักร ซึ่งล้วนแล้วแต่บ่งบอกถึงความเป็นฟีเลเซียได้เป็นอย่างดี ธงสีเขียวอ่อนอันเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะที่ฤดูใบไม้ผลิมีต่อฤดูหนาว ซึ่งก็คือชัยชนะของชาวฟีเลเซียที่มีต่ออริชาติศัตรูทั้งหลายนั่นเองและสีขาวอันเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์แห่งจิตวิญญาณและความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า
ที่ลานกว้างหน้าปราสาทมีน้ำพุขนาดใหญ่พ่นน้ำใสสะอาดขึ้นสูงลิ่วราวกับจะทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ละอองน้ำจากน้ำพุที่ถูกสายลมพัดผ่านลอยละล่องประพรมลงสู่พื้นบ้างสู่ผู้คนที่ยืนอยู่บริเวณใกล้เคียงบ้าง สร้างความสดชื่นราวกับน้ำอมฤตจากสวรรค์เบื้องบนที่โปรยปรายลงมาอวยพรให้แก่ราชพิธีสำคัญในวันนี้ รูปปั้นสำริดของบรรดาวีรบุรุษนักรบผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตที่ตั้งตระหง่านอยู่ทั่วทั้งอาณาจักรถูกทำความสะอาดและขัดถูให้มันวาวราวกับเพิ่งออกจากโรงหล่อใหม่ ๆ จนดูราวกับว่ารูปปั้นนักรบเหล่านี้มีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ
ทั่วบริเวณลานกว้างหน้าปราสาทคลาคล่ำไปด้วยประชาชนนับหมื่นที่ต่างมายืนเฝ้ารอเพื่อร่วมพิธีสำคัญในวันนี้ ประชาชนทั้งหญิงชายต่างก็สวมเสื้อผ้าที่ดีที่สุดของตน บรรดาอัศวินแห่งฟีเลเซีย(Felasia’s Knight) ในชุดเกราะสีเขียวมรกตมันวาวบนหลังม้าสูงสง่าต่างกระจายกำลังอยู่ตามจุดต่าง ๆ เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย
ไม่นานนักขบวนเสด็จของว่าที่กษัตริย์องค์ใหม่แห่งฟีเลเซียก็ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านฝูงชนที่มายืนรอเฝ้ารับเสด็จ โดยมีว่าที่กษัตริย์องค์ใหม่เป็นผู้นำขบวน
เจ้าชายซิกมันด์ที่สามอยู่ในชุดเกราะสีเขียวอมฟ้าขลิบทองมันวาวบนหลังม้าสีขาวราวหิมะที่มีขนาดใหญ่กว่าม้าธรรมดาถึงสี่ คืบ ทำให้ร่างของพระองค์ยิ่งดูสูงเพรียวงามสง่ายิ่งนัก ผ้าคลุมสีเหลืองสดสะบัดพลิ้วไหวตัดกับผมยาวสีน้ำตาลเข้มอย่างเหมาะเจาะ พระพักตร์ที่หล่อเหลานั้นแสดงถึงความมุ่งมั่นอย่างชัดแจ้ง ริมพระโอษฐ์บางเชิดขึ้นเล็กน้อยบ่งบอกถึงความหยิ่งทะนงได้เป็นอย่างดี พระองค์ทรงมุ่งหน้าสู่ปราสาทด้วยความภาคภูมิ ดวงเนตรสีเขียวมรกตมองดูบรรดาธงชาติเล็ก ๆ สีเขียวอ่อนที่ประชาชนนับพันนับหมื่นโบกไปมาสะบัดพลิ้วหยอกล้อกับสายลมราวกับเริงระบำ พระองค์ทรงเหยียดมุมพระโอษฐ์ขึ้นเหมือนทรงยิ้มน้อย ๆ ก่อนที่จะมีสีพระพักตร์สลดลง
“ข้าขอบอกกับท่านตามตรงว่า ข้าอยากให้เสด็จพ่อได้มาเห็นวันอันน่าภาคภูมิใจนี้นัก” เจ้าชายซิกมันด์ตรัสแก่บุรุษผู้อยู่ทางเบื้องหลัง
“เจ้าชายอย่าได้เป็นทุกข์ใจไปเลยพ่ะย่ะค่ะ องค์เหนือหัวแม้จะสวรรคตไปแล้วแต่พระองค์ก็มิได้จากไปไหน กระหม่อมเชื่อเหลือเกินว่าในวันนี้องค์ซิกมันด์ที่สองจะต้องกำลังทอดพระเนตรพระองค์จากบนสวรรค์ด้วยความชื่นชมยินดี เจ้าชายทรงทอดพระเนตรเหล่าพสกนิกรเหล่านี้ดูเถิด พระองค์คือความภาคภูมิใจของฟีเลเซีย”
เจ้าชายซิกมันด์ทรงเหลือบไปมองเหล่าพสกนิกรที่กำลังโห่ร้องยินดี มุมพระโอษฐ์โค้งขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะตรัสขึ้น
“ขอบใจ และท่านเองก็เป็นความภาคภูมิใจของฟีเลเซียเช่นกัน”
“เจ้าชาย... ไม่สิพระองค์กำลังจะขึ้นครองราชย์แล้ว กระหม่อมต้องเรียกพระองค์ว่าองค์กษัตริย์สินะ”
“ท่านจะเรียกอย่างไรก็ได้ เพราะไม่ว่าข้าจะเป็นอะไร ท่านก็ยังคงเป็นสหายคนสนิทของข้าเสมอ”
บุรุษผู้นั้นโค้งตัวเล็กน้อยเป็นการขอบคุณด้วยความภาคภูมิใจ เจ้าชายซิกมันด์ที่สามพยักพระพักตร์รับแล้วจึงบ่ายหน้าสู่ถนนใหญ่พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ราวกับจะซึมซาบเอาความปลาบปลื้มของเหล่าพสกนิกรแห่งฟีเลเซียเข้าไว้เป็นพลังและกำลังใจของพระองค์ ก่อนที่จะทรงยืดองค์มุ่งไปยังปราสาทเบื้องหน้าอย่างสง่างาม
ฝ่ายบุรุษผู้อยู่ทางเบื้องหลังก็ควบม้าเหยาะ ๆ ตามหลังว่าที่กษัตริย์องค์ใหม่ไปไม่ห่างจากกันมากนัก เขาอยู่ในชุดเกราะเต็มยศสีเงินมันวาว ขี่ม้าสีเทาเงินซึ่งมีขนาดเล็กกว่าม้าขาวของเจ้าชายซิกมันด์เล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็มิอาจบดบังร่างกายที่ผึ่งผายของเขาได้ ไหล่ที่กว้างกำยำและหลังที่ยืดตรงของเขาเอื้อให้เห็นถึงอิริยาบถที่กระฉับกระเฉงและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ใบหน้าของเขาดูเคร่งขรึมสำรวมบ่งบอกถึงความเป็นผู้ที่สงบและอดทน หากแต่ดวงตาดูเป็นมิตรและเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น เขาคือแม่ทัพใหญ่ผู้มีอนาคตไกล ผู้ซึ่งได้ชื่อว่ามีฝีมือด้านการรบเป็นหนึ่งที่สุดในฟีเลเซีย และยังได้ชื่อว่ามีความจงรักภักดีต่อฟีเลเซียอย่างที่สุดเช่นกัน เขาคือแม่ทัพหนุ่มผู้มีประสบการณ์ด้านการศึกอย่างโชกโชนแม้จะมีวัยเพียงยี่สิบเอ็ดปีเท่านั้น ชาร์ล คลาแรนซ์(Charles Clarence, the General of Felasia) บุตรชายของลอร์ดคลาแรนซ์อดีตจอมทัพแห่งฟีเลเซีย ผู้ซึ่งเป็นราชครูที่สอนวิชาต่อสู้ให้แก่เจ้าชายซิกมันด์ ด้วยพรสวรรค์ด้านดาบที่เก่งกาจเกินวัยของชาร์ล เขาจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคู่ฝึกดาบของเจ้าชายซิกมันด์ตั้งแต่เด็กและได้กลายเป็นสหายสนิทที่เจ้าชายซิกมันด์ทรงวางใจที่สุดอีกด้วย
เมื่อขบวนเสด็จขึ้นมายังลานหน้าปราสาท ประชาชนนับหมื่นต่างก็โห่ร้องต้อนรับว่าที่กษัตริย์องค์ใหม่เสียงดังกึกก้อง เสียงบรรเลงเพลงชาติฟีเลเซียดังกระหึ่มจากวงดนตรีของกองทัพเป็นจังหวะไพเราะ สง่า และ หนักแน่น ชวนให้บรรยากาศโดยรอบดูสง่าและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ทหารกองเกียรติยศในชุดเกราะสีเขียวมรกตมันวาวนับพันยืนแถวเรียงจากหน้าลานยาวขึ้นไปถึงบันไดขั้นบนสุดหน้าปราสาทโดยมีบรรดาประชาชนนับหมื่นคนยืนเป็นแถวเรียงรายอยู่เบื้องหลังทั้งสองฝั่งฟาก ที่รูปปั้นปฐมกษัตริย์องค์แรกแห่งฟีเลเซียด้านหน้าปราสาทนั้นเองมีคณะขุนนางและผู้ทรงเกียรติมากมายยืนรอรับเสด็จอยู่